(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นรีบาวด์ หลังรัฐฯไม่ล็อกดาวน์-Fund Flow ยังเข้า

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสรีบาวด์ขึ้นได้ แต่ระหว่างวันก็อาจจะแกว่งไซด์เวย์ทั้งในแดนบวก-ลบ เนื่องจาก Sentiment ตลาดฯยังดูดีอยู่ จากที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อ และกองทุนในประเทศก็ซื้อด้วย อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นอาจจำกัดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศ ที่จำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้น และแม้ว่ารัฐบาลจะไม่ล็อกดาวน์ทั้งหมด แต่ก็ทำการล็อกดาวน์บางส่วน ซึ่งบางคนกลัวว่าการระบาดจะยืดเยื้อ

อย่างไรก็ดี เชื่อว่า Fund Flow ยังไหลเข้ามาใน Emerging Market และไทย หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯได้ปรับตัวลงแรง เนื่องจากกังวลผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภารอบสองในรัฐจอร์เจีย หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งจะทำให้ทางพรรคสามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งในทำเนียบขาว วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะทำให้ผลักดันมาตรการปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลภายใต้รัฐบาลของนายโจ ไบเดน เป็นไปได้ง่ายขึ้น และจะกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ส่งผลให้หุ้นถูกขายออกมา และเงินดอลลาร์สหรัฐฯก็อ่อนค่าลง จึงเชื่อว่า Fund Flow จะไหลเข้าเอเชีย รวมถึงบ้านเราด้วย เห็นได้จากมีการหันไปถือทองคำมากขึ้นหลังดอลลาร์ฯอ่อนค่า

ส่วนราคาน้ำมันก็อ่อนตัวลงเล็กน้อยในช่วงรอผลประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ที่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายการผลิตน้ำมัน และจะจัดการประชุมอีกครั้งในวันนี้ ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนลบเล็กน้อย โดยให้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศต่อไป

พร้อมให้แนวรับ 1,460-1,450 จุด ส่วนแนวต้าน 1,479-1,485 จุด


ประเด็นพิจารณาการลงทุน

- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (4 ม.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,223.89 จุด ร่วงลง 382.59 จุด (-1.25%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,700.65 จุด ลดลง 55.42 จุด (-1.48%) ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,698.45 จุด ลดลง 189.84 จุด (-1.47%)

- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 10.77 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 107.00 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 191.47 จุด

- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (4 ม.ค.) 1,468.24 จุด เพิ่มขึ้น 18.89 จุด (+1.30%)

- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,215.06 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 ม.ค.64

- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (4 ม.ค.) ปิดที่ 47.62 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 90 เซนต์ หรือ 1.9%

- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (4 ม.ค.) อยู่ที่ 1.81 ดอลลาร์/บาร์เรล

- เงินบาทเปิด 29.93 อ่อนค่าจากวานนี้หลังดอลล์กลับมาแข็งค่า ให้กรอบวันนี้ 29.85-30.00

- รัฐบาลตุนงบประมาณ 6.1 แสนล้านบาท ทั้งงบกลาง-เงินกู้ สู้โควิดระบาดรอบใหม่ สำนักงบประมาณ ชี้เพียงพอดูแลเศรษฐกิจ ระบุหากไม่พอโอนงบส่วนราชการมาใช้เพิ่มได้ ระบุหากจำเป็นเสนอปรับเพดานหนี้ได้ "คลัง" ชง ครม.ยืดโครงการคนละครึ่ง-เที่ยวด้วยกัน "ซีไอเอ็มบี" ชี้งบพอประคองแต่ไม่พอกระตุ้นเศรษฐกิจ

- แบงก์ตั้งท่าช่วยลูกหนี้ลดผลกระทบโควิด-19 ระลอกใหม่ ธนาคารกรุงเทพประเมินรอบนี้ลากยาว ขณะที่กรุงศรีฯ จ่อออกมาตรการช่วยแบบจำกัดพื้นที่เสี่ยง ด้านสมาคมธนาคารเตรียมถกแบงก์ชาติ งัด 3 มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เอสเอ็มอีเสนอตั้ง Warehousing บริหารหนี้เสียดึงเงินซอฟท์โลนผุดสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ

- "ศักดิ์สยาม" ดันแผนลงทุนปี 64 ชง ครม. เคาะต่อขยาย "สายสีชมพู" และทางยกระดับ "บางขุนเทียน-บ้านแพ้ว" พร้อมเร่ง PPP ต่อขยายโทลล์เวย์ช่วงรังสิต-บางปะอิน ทางด่วนกะทู้-ป่าตอง และนครปฐม-ชะอำ ส่วนรถไฟทางคู่เฟส 2 รอหารือสำนักงบฯ 8 ม.ค.นี้ เผยยังจะเร่งตั๋วร่วมเชื่อมรถไฟฟ้าทั้งระบบ และผลักดันใช้ระบบเก็บค่าผ่านทางอัจฉริยะ

- 'บุญญนิตย์' ผู้ว่าการ กฟผ. ประกาศเดินหน้าลงทุน 4 หมื่นล้านบาทภายในปี 2564 ตามแผน ไม่สนโควิด-19 รอบใหม่ ยันรับมือได้ แย้มโครงการลงทุนถูกฟิกซ์ไว้แล้วเพื่อใส่เงินเข้าในระบบ กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ คาดปีนี้ใช้ไฟโต 4% พร้อมกันงบซีเอสอาร์บรรเทาผลกระทบโควิดต่อประชาชน-ช่วยเหลือบุคลากรการแพทย์

- กรมการค้าต่างประเทศมั่นใจสหรัฐต่ออายุโครงการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ที่ให้กับทุกประเทศแน่ หลังผู้ซื้อ ผู้นำเข้า สมาคมการค้าในสหรัฐยื่นหนังสือล็อบบี้รัฐสภา เผยไม่มีผลกระทบต่อการส่งออก แค่อาจจะช้าไปบ้าง เหตุสหรัฐกำลังจะมีรัฐบาลใหม่ และต้องสู้กับโควิด-19

- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินตลาดการเงินในปี 64 ยังคงเจอความท้าทายและต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดและค่าบาทแข็งค่าคาดอยู่ที่ 29.00 บาทต่อดอลลาร์


*หุ้นเด่นวันนี้

- MICRO (เคจีไอฯ) "เก็งกำไร"เป้าพื้นฐาน 5.9 บาท ประเมินแนวโน้มกำไรโต 29% CAGR 2563-2566 จากสถาบันการเงินปลดล็อกเพดาน DE ratio จาก 1.5 เท่า เป็น 2.0 เท่า, คาดพอร์ตสินเชื่อรถบรรทุกมือสองจะขยายตัวแตะระดับ 5 พันล้านบาทในปี 2565 (คาดปี 2563 พอร์ตสินเชื่อแตะ 2.45 พันล้านบาท), ตลาดสินเชื่อรถบรรทุกมือสองใหญ่ราว 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ MICRO มี Market share เพียงราว 5% และผู้ปล่อยสินเชื่อฯ ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายเล็ก พร้อมประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำต่อเนื่อง และมีโอกาสลดลงอีก

- TOA (เคทีบีฯ) เป้าเชิงกลยุทธ์ 35 บาท คาดยอดขายสีทาอาคารในปีนี้ฟื้นตัว ส่วนผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวมีโอกาสเติบโตต่อ ได้แรงหนุนจากการบริโภคและการลงทุน (ก่อสร้าง) ที่ฟื้นตัวจากฐานต่ำในปีก่อน พร้อมเปิดตัวธุรกิจใหม่ "Mega Paint Warehouse ซึ่งเป็นศูนย์จำหน่ายวัสดุก่อสร้างครบวงจร พร้อมบริการ WHO Service ศูนย์ให้คำปรึกษาและจัดหาช่างผู้รับเหมางาน โดยในปีนี้จะเปิดให้บริการ 3 สาขา และภายใน 3 ปี TOA จะเปิดให้ครบ 50 สาขา ทั้งนี้ Bloomberg Consensus Survey กำไรสุทธิเฉลี่ยของ TOA ปี 2564-2565 ที่ 2.3 พันล้านบาท และ 2.5 พันล้านบาท เติบโต +10.6%YoY และ 8.7%YoY ตามลำดับ

- STGT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 48 บาท (ก่อนแตกพาร์ 96 บาท) เริ่มเทรดพาร์ใหม่ 0.50 บาทวันนี้ และปรับนโยบายจ่ายปันผลใหม่เป็นไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรทุกไตรมาสในปี 2564 ด้านกำไร Q4/63 ยังโตแรงจากราคาขายที่ปรับขึ้น โดยคาดกำไรปี 2563-2564 +1,158% Y-Y และ +71% Y-Y ตามลำดับ