*(แก้ไข) กกพ.มีมติตรึงค่าเอฟทีงวด พ.ค.-ส.ค.64 ที่ ลบ 15.32 สต. ส่งผลค่าไฟคงเดิม

สำนักงานกกพ. ขอแก้ไขเนื้อหาในย่อหน้าแรกจาก"จ่ายค่าไฟฟ้าเท่าเดิมในอัตรา 3.49" เป็น ""จ่ายค่าไฟฟ้าเท่าเดิมในอัตรา 3.61" เนื้อหาที่แก้ไขแล้วเป็นดังนี้

          นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กก
พ. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติให้ตรึงค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) สำหรับการ
เรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2564 โดยให้เรียกเก็บที่ -15.32 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้ายังคงจ่ายค่า
ไฟฟ้าเท่าเดิมในอัตรา 3.61 บาทต่อหน่วยต่อไปอีก 4 เดือน
          สำหรับปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟที (ตามปกติ) ในรอบเดือน พ.ค.-ส.ค. 2564 ประกอบด้วย
          1. ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค.-ส.ค. 2564 เท่ากับประมาณ 67,885.43 ล้านหน่วย ปรับตัวเพิ่มขึ้น
จากช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. 2564 ที่คาดว่าจะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 60,685.17 ล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 11.86%
          2. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค.- ส.ค. 2564 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก 
55.5% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวม 17.02% และ
ค่าเชื้อเพลิงลิกไนต์ของ กฟผ. 8.73% ถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน 8.72% และอื่นๆ อีก 10.03%
          3. สถานการณ์ราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ตามข้อมูลจริงเดือนมกราคม 2564 ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 30 
บาท/ดอลลาร์ และราคาน้ำมันดิบดูไบอ้างอิงที่ 54.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิต
ไฟฟ้าสูงขึ้นจากประมาณในรอบเดือน ม.ค.-เม.ย. 2564 โดยที่เชื้อเพลิงอื่นๆ ปรับตัวลดลง ดังที่แสดงในตาราง 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ประเภทเชื้อเพลิง 	              หน่วย	       ม.ค.-เม.ย.64      พ.ค.–ส.ค.64      เปลี่ยนแปลง
                                            (ประมาณการ)       (ประมาณการ)      [2]-[1]
                                               [1]	             [2]	   
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
-ราคาก๊าซธรรมชาติ ทุกแหล่ง*      บาท/ล้านบีทียู	  225.53	    241.07	    +15.54	   
-ราคาน้ำมันเตา 	              บาท/ลิตร	          20.15	     15.63	     -4.52	   
-ราคาน้ำมันดีเซล	              บาท/ลิตร	          22.61	     20.49	     -2.12	   
-ราคาลิกไนต์ (กฟผ.)	      บาท/ตัน	         693.00	    693.00	      0.00	   
-ราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ย (IPPs)   บาท/ตัน	       2,302.57	   2,261.09	    -41.48	 
หมายเหตุ: *ราคาก๊าซฯ รวมค่าผ่านท่อและค่าดำเนินการของโรงไฟฟ้า กฟผ. และโรงไฟฟ้าเอกชน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

          4. อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ (วันที่ 1-31 มกราคม 2564) เท่ากับ 30 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจาก
ประมาณการในงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2564 ที่ผ่านมา ที่ประมาณการไว้ที่ 31.4 บาท/ดอลลาร์ 
          อย่างไรก็ตามหากพิจารณาแนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบ และอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 
2564 แล้วพบว่าอาจมีผลต่อการประเมินค่าเอฟที จึงพิจารณาใช้สมมติฐานน้ำมันดิบดูไบที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์บาเรล และอัตราแลก
เปลี่ยนที่ 31 บาท/ดอลลาร์ ในการคำนวณแทนและประเมินเอฟทีตลอดทั้งปี ส่งผลให้ค่าเอฟทีเป็น -18.02 สตางค์ต่อหน่วยในรอบเดือน 
พ.ค.-ส.ค. 2564 และ -7.95 สตางค์ต่อหน่วยในรอบเดือน ก.ย.- ธ.ค. 2564 ตามลำดับ (เฉลี่ย -13.14 สตางค์ต่อหน่วยตลอด
ปี) 
          นอกจากนี้หากพิจารณาความสามารถในการตรึงค่าเอฟทีที่ -15.32 สตางค์ต่อหน่วย จะต้องใช้เงินบริหารจำนวน 2,610 
ล้านบาท ในขณะที่ กกพ. ยังคงมีเงินบริหารเก็บไว้จำนวน 4,129 ล้านบาท กกพ. จึงตัดสินใจตรึงค่าเอฟทีที่ -15.32 สตางค์ต่อหน่วยใน
รอบเดือน พ.ค. – ส.ค. 2564 
           "กกพ. มองว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 54.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในเดือนกุมภาพันธ์ 
2564 มาอยู่ในระดับ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนมีนาคม 2564 และแนวโน้มการอ่อนตัวลงของค่าเงินบาทจาก 30 บาท/ดอลลาร์
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มาเป็น 31 บาท/ดอลลาร์ ในเดือนมีนาคม 2564 อาจส่งผลต่อค่าเอฟทีในช่วงปลายปี อีกทั้งความต้องการ
พลังงานที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 คลี่คลายในครึ่งปีหลัง จะส่งผลต่อการเพิ่ม
ความต้องการใช้เชื้อเพลิงในตลาดโลกอย่างรุนแรง จึงใช้หลักการประเมินค่าเอฟทีตลอดทั้งปีเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะมีศักยภาพในการ
รักษาเสถียรภาพค่าไฟฟ้าตลอดปี 2564" นายคมกฤช กล่าว
	ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. จะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บในรอบเดือน พฤษภาคม- สิงหาคม 2564 
ทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 5-19 มีนาคม 2564 ก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป