นายกฯ ยันดูแลเกษตรกร เร่งดำเนินการจ่ายเงินประกันรายได้ส่วนที่ค้าง

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม มีความห่วงใยและเข้าใจความเดือดร้อนและทุกข์ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ยังรอรับเงินประกันรายได้ตามนโยบายประกันรายได้ของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้รัฐบาลสามารถจัดสรรเงินให้ความช่วยเหลือเกษตรกรได้เพิ่มเติมอีก 155,000 ล้านบาท ซึ่งจะนำเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติในวันที่ 30 พ.ย. 64 จากนั้นจะให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) เร่งเบิกจ่ายโอนถึงบัญชีเกษตรกรโดยตรงต่อไป

โดยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ วานนี้ (24 พ.ย.64) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เห็นชอบปรับกรอบอัตรายอดคงค้างรวมทั้งหมดของภาระที่รัฐต้องชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 28 จากไม่เกิน 30% เป็นไม่เกิน 35% เป็นระยะเวลา 1 ปี สำหรับปีงบประมาณ 2565 เพื่อเปิดวงเงินให้สำหรับโครงการประกันรายได้พืชผล ส่งผลให้มีวงเงินตามมาตรา 28 ฯ เพิ่มอีก 155,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับวงเงินคงเหลือ (ณ วันที่ 19 พ.ย. 64) จำนวน 5,360 ล้านบาท เป็น 160,360 ล้านบาท ทำให้มีวงเงินเพียงพอสำหรับการจ่ายชดเชยประกันรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและยางพารา ในรอบที่ 2 ได้ จากนี้ จะได้มีการออกประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดอัตราชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรัฐในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 28 ต่อไป ซึ่งในการประชุม ครม. สัปดาห์หน้า จะสามารถพิจารณาอนุมัติโครงการประกันรายได้ข้าวในส่วนที่เหลือ และโครงการประกันรายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา เพื่อจ่ายเงินประกันรายได้ให้กับเกษตรกรได้ภายในเดือน ธ.ค.64

นายธนกร กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกรตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวพร้อมมาตรการคู่ขนาน เพราะเป็นโครงการสำคัญ จำเป็นที่ต้องดำเนินการ เนื่องจากเป็นนโยบายที่รัฐบาลแถลงไว้ต่อสภา จึงสั่งการกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และกระทรวงพาณิชย์ เร่งจ่ายเงินประกันรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ในส่วนที่ยังค้างจ่ายด้วยวิธีการที่เหมาะสมตามกฎหมาย ภายใต้การดูแลการใช้จ่ายของภาครัฐ ที่ต้องดำเนินการโดยรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัดด้วย

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 พ.ย. 64)

Tags: , , ,
Back to Top