ตัวแทนกลาโหมเข้าชี้แจงอนุกมธ.งบฯ 65/ยุทธพงศ์ เดินหน้าค้านซื้ออาวุธฟุ่มเฟือย

รายงานข่าวจากรัฐสภา แจ้งว่า การประชุมคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ และไอซีที ในคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 เพื่อพิจารณางบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหมที่มีนายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานฯ โดยมีตัวแทนกระทรวงกลาโหม สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ มาชี้แจง

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะคณะอนุกมธ.ครุภัณฑ์และไอซีที กล่าวว่า วันนี้อนุกมธ.ได้มีการพิจารณางบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหมที่ตนเองตั้งเป้าตัดงบประมาณในส่วนที่ไม่จำเป็นเพิ่มเติมอีก เช่น โครงการจัดซื้ออากาศยานไร้คนขับ (ยูเอวี) เพื่อลาดตระเวนชายฝั่งทะเลของกองเรือ งบประมาณ 4,100 ล้านบาท และพบว่ากองทัพเรือยังซื้อโดรนอีก 570 ล้านบาทในปีเดียวกัน จึงตั้งข้อสังเกตว่ามิติการรบของกองทัพเรือเป็นทางน้ำ แต่เหตุใดจึงตั้งงบซื้อยุทโธปกรณ์ทางอากาศรวมแล้วงบประมาณเกือบ 5,000 ล้านบาท

ส่วนกองทัพบกก็มีการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์และอุปกรณ์รถถัง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดเท่าที่ควร เพราะที่ขอไปทางกองทัพยังไม่ได้ส่งให้ รวมทั้งต้องตามเรื่องการจัดซื้อเรือลำเลียงพลสะเทินน้ำสะเทินบกหรือเรือแอลพีดี ซึ่งเป็นการจัดซื้อเรือแต่ไม่มีระบบอาวุธ จนต้องทำหนังสือไปถึงประเทศจีน เพื่อขอความอนุเคราะห์ติดอาวุธเพิ่ม ซึ่งกองทัพเรือยังไม่ได้ให้คำตอบเรื่องนี้ วันนี้จะขอดูความเหมาะสมว่าจำเป็นต้องมีการจัดซื้อหรือไม่ อีกทั้งต้องดูบริษัทที่จัดซื้อด้วยว่าเป็นอย่างไร และเป็นการจัดซื้อรูปแบบไหน

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า จากการประชุม กมธ.งบประมาณชุดใหญ่มีเพียงกองทัพเรือหน่วยงานเดียวที่ยื่นขอถอนโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ ลำที่ 2 และลำที่ 3 ส่วนรายการอื่นยังอยู่ครบ

"ส่วนตัวจะค้านการจัดซื้ออาวุธที่ฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะเรือดำน้ำ เพราะมิติการรบปัจจุบันนั้นเปลี่ยนไปแล้ว และเป็นใช้เทคโนโลยีมากกว่า ทั้งนี้ยืนยันว่าจะเสนอตัดรายการซื้ออาวุธที่ไม่จำเป็นเพิ่มเติมอีก หากที่ประชุมไม่ยินยอมก็จะเสนอโหวตลงมติ และถ้าแพ้ก็จะไปสู้ในที่ประชุม กมธ.ชุดใหญ่ต่อ เราต้องไม่เกรงใจกัน" นายยุทธพงศ์ กล่าว

ด้าน น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พปชร. ในฐานะ กมธ.ฯงบประมาณ พ.ศ.2565 กล่าวถึงกรณีที่กองทัพเรือยอมถอยเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำว่า ตนเองรู้สึกเห็นใจ เพราะวันนี้เรามีทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ใกล้กับมาเลเซีย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีเรือดำน้ำเฝ้าระวัง หากเราไม่มีความพร้อมเท่าเขาอาจทำให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติได้ และหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นก็จะมาโทษทีหลังว่าทำไมไม่ซื้อ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ตอนนี้ก็เข้าใจได้ แต่ไม่ใช่กองทัพเรือที่เสนอซื้อเรือดำน้ำ แต่ทุกหน่วยงานก็เสนอซื้อเครื่องมืออย่างอื่นด้วยเช่นกัน

พร้อมระบุว่า ขอให้สื่อมวลชนติดตามพฤติกรรมของนายยุทธพงศ์ เพราะเมื่อวันที่ 13 ก.ค.64 กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ได้มาชี้แจงขอจัดซื้อยูเอวีที่มีราคาสูงเหมือนกับกองทัพเรือ ซึ่งราคาสูงกว่าท้องตลาดมากถึง 2-3 เท่า โดยราคายูเอวี 1 ลำมีราคาแสนกว่าบาท จึงขอให้ตัดงบประมาณในส่วนนี้ แต่นายยุทธพงศ์กลับมีพฤติการณ์ปกป้องว่ามีความจำเป็น ทำตัวเป็นเหมือนองครักษ์พิทักษ์กรมทางหลวง แต่มาพอถึงงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ในส่วนของกองทัพเรือที่เป็นครุภัณฑ์ประเภทเดียวกันกลับคัดค้าน

"ฝากให้ช่วยติดตามว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายยุทธพงศ์ ไม่ใช่แค่จ้องตัดงบประมาณกระทรวงกลาโหม จึงขอให้ดูที่การเสนอราคาและตัดงบฯบางส่วน" น.ส.ปารีณา กล่าว