รัฐบาล เตรียมเปิดตัว "SME คนละครึ่ง" ช่วยลดภาระค่าบริการทางธุรกิจ คาดเริ่มกลางปี

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมเปิดตัวโครงการ "SME คนละครึ่ง" ซึ่งจะเป็นมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยเพิ่มเติม ในลักษณะร่วมกันจ่ายกับ SME (Co-payment) มีสัดส่วนตั้งแต่ 50-80% สำหรับค่าใช้จ่ายในการขอทดสอบผลิตภัณฑ์ จดทะเบียนหรือขอใบรับรองมาตรฐานต่างๆ และการปรึกษาทางธุรกิจ เช่น มาตรฐานการบัญชี มาตรฐานสินค้าเกษตร (มกอช.) มาตรฐานอาหาร (อย.) ซึ่งที่ผ่านมาการขอรับบริการทางธุรกิจต่างๆ มีค่าใช้จ่ายสูง เป็นต้นทุนสำคัญของการประกอบการ และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของเอสเอ็มอีไทยด้วย โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดตัวโครงการ SMEs Co-payment ในกลางปีนี้ ซึ่งนอกจากจะลดภาระค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ เอสเอ็มอีไทยที่มีอยู่กว่า 3.1 ล้านราย สามารถตัดสินใจเลือกพัฒนาคุณภาพและขอรับมาตรฐานสินค้าและบริการที่ตรงความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรมแต่ละราย สร้างโอกาสใหม่ๆ ทางการตลาดด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมาตรฐานสากลด้วย

ด้านนายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าว เป็นการลดรายจ่ายให้กับเอสเอ็มอี ซึ่ง สสว.จะช่วยเหลือค่าใช้ค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งให้กับเอสเอ็มอี ซึ่งล่าสุดมีหน่วยงานผู้ให้บริการสนับสนุนด้านการพัฒนาธุรกิจ (Business Development Senice : BDS) เข้าร่วมกับ สสว.แล้วกว่า 100 หน่วยงาน และคาดว่าจะมีหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมโครงการดังกล่าวเพิ่มขึ้น ซึ่งหน่วยงานเหล่านั้น ต้องมีมาตรฐานและมีระดับราคาตามที่กำหนด เพื่อให้เอสเอ็มอีที่เข้ามาใช้บริการได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่และมีทางเลือกที่หลากหลาย ตรงกับความต้องการเบื้องต้นของผู้ประกอบการ โดยคุณสมบัติของเอสเอ็มอี ต้องเป็นธุรกิจที่มีการยื่นชำระภาษีและขึ้นทะเบียนสมาชิกกับ สสว.

นอกจากนี้ สสว. ยังดำเนินการเรื่องเชิญชวนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ลงทะเบียนเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อเอื้อให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงตลาดการจัดซื้อจัดงานภาครัฐที่มีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปีได้ ซึ่งเป็นตลาดที่เปิดกว้างสำหรับเอสเอ็มอีทุกรายตั้งแต่บุคคลธรรมดา นิติบุคคล และวิสาหกิจชุมชนตามที่กำหนด

"จากการที่รัฐบาลออกกฎกระทรวง ที่กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้าหรือบริการของเอสเอ็มอี ที่ขึ้นบัญชีไว้กับ สสว. ในวงเงินไม่น้อยกว่า 30% ของงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่อยู่ในบัญชีรายชื่อดังกล่าว นับเป็นการเปิดโอกาสสำคัญให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ" นายวีระพงศ์ ระบุ

ผู้อำนวยการ สสว.ยังกล่าวถึงนโยบายของ สสว. ในปี 2564 ประกอบด้วย 1. เพิ่มผลิตภาพและลดต้นทุน 2. เพิ่มช่องทางการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในรูปแบบ Online และ Offine 3. เชื่อมโยงแหล่งเงินทุน ทั้งผ่านกองทุน สสว. และเครือข่ายหน่วยร่วมดำเนินการ โดยการส่งเสริมเอสเอ็มอีตามแผนการดำเนินงานของ สสว. ในปีงบประมาณ 2564 โดยมีจุดประสงค์ ได้แก่

1. ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (Early Stage) เตรียมความพร้อมให้เยาวชน สร้างและพัฒนาวิสาหกิจ รวมถึงการพัฒนาสภาพแวดล้อมในการเริ่มต้นธุรกิจ 2. พัฒนาวิสาหกิจรายย่อยให้ประกอบธุรกิจอย่างมืออาชีพ พัฒนาวิสาหกิจสู่ความเป็นมืออาชีพ พัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าและบริการ พัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการ และขยายโอกาสทางการตลาด

3. พัฒนาวิสาหกิจขนาดย่อมให้ก้าวสู่ธุรกิจสมัยใหม่ ยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าและบริการ พัฒนาประสิทธิภาพ/ผลิตภาพ และเพิ่มขีดความสามารถทางการตลาด 4. พัฒนาปัจจัยแวดล้อมในการส่งเสริมเอสเอ็มอีให้เพียงพอและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พัฒนาระบบการให้ข้อมูลและบริการความช่วยเหลือแก่เอสเอ็มอีพัฒนากลไกการส่งเสริม SME ปรับปรุงกฎหมายและการให้บริการของภาครัฐ และบริหารจัดการงานส่งเสริมเอสเอ็มอี

นายวีระพงศ์ กล่าวอีกว่า การดำเนินงานในปี 2564 ของ สสว. คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 3,700 ล้านบาท โดยผ่านความร่วมมือของหน่วยร่วมดำเนินงานของ สสว. ซึ่งจะสามารถพัฒนาและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการได้ครบในทุกมิติ