ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 572.16 จุด ขานรับตัวเลขจ้างงานแกร่ง

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 500 จุดเมื่อคืนนี้ (5 มี.ค.) หลังการซื้อขายที่เป็นไปอย่างผันผวน โดยตลาดได้แรงหนุนจากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นแล้วจากผลกระทบของโรคโควิด-19

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,496.30 จุด เพิ่มขึ้น 572.16 จุด หรือ +1.85% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,841.94 จุด เพิ่มขึ้น 73.47 จุด หรือ +1.95% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,920.15 จุด เพิ่มขึ้น 196.68 จุด หรือ +1.55%

ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 1.8% และดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.8% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ยังคงร่วงลง 2.1%

ตลาดหุ้นสหรัฐดีดตัวขึ้น หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 379,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าอาจจะเพิ่มขึ้น 210,000 ตำแหน่ง

ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 6.2% ในเดือนก.พ. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าอาจจะทรงตัวที่ระดับ 6.3%

ตลาดหุ้นสหรัฐฟื้นตัว หลังจากร่วงลงในช่วงหลายวันที่ผ่านมาจากความวิตกเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐ ซึ่งได้บดบังความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี พุ่งแตะระดับสูงสุดใหม่ในรอบ 1 ปีที่ระดับ 1.626% หลังจากการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่บรรดานักวิเคราะห์คาดไว้

นักลงทุนยังคงมุ่งความสนใจไปที่มาตรการเยียวยาผลกระทบของโรคโควิด-19 วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจากวุฒิสภาสหรัฐได้เริ่มอภิปรายเกี่ยวกับวิธีการใช้จ่ายเงินเยียวยาตามมาตรการดังกล่าว

หุ้นทุกกลุ่มในดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นในวันศุกร์มากกว่า 1.5% หลังจากหุ้นแอมะซอนและหุ้นแอปเปิลฟื้นตัวขึ้น แต่ดัชนี Nasdaq ก็ยังคงปิดตลาดสัปดาห์นี้อยู่ในแดนลบ

ดัชนี Nasdaq ดีดตัวขึ้นในช่วงท้ายสัปดาห์นี้หลังจากร่วงลงราว 10% แล้วจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และยังคงลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน โดยการพุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมาของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้ลดความต้องการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูง ซึ่งนักลงทุนมองว่า อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อบริษัทด้านเทคโนโลยีที่มีการขยายตัวสูง โดยจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในอนาคต

หุ้นไมโครซอฟท์ทะยานขึ้น 2.15% ขณะที่การปรับตัวขึ้นของหุ้นอัลฟาเบทและแอปเปิลช่วยหนุนตลาดด้วย ส่วนหุ้นออราเคิลพุ่งขึ้นมากกว่า 6% หลังบาร์เคลย์สปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ภาวะการใช้จ่ายด้านไอทีจะปรับตัวดีขึ้น

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานในดัชนี S&P500 พุ่งขึ้น 3.9% สู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปีด้วย โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างมาก