ดาวโจนส์ลดช่วงติดลบ หลัง "พาวเวล" ยันเฟดเดินหน้านโยบายผ่อนคลายการเงิน

ดัชนีดาวโจนส์ลดช่วงติดลบในวันนี้ หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าเฟดจะยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป

ณ เวลา 22.45 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 31,410.82 จุด ลบ 110.87 จุด หรือ 0.35% หลังจากดิ่งลงกว่า 200 จุดในช่วงแรก

"เศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ห่างไกลจากเป้าหมายด้านเงินเฟ้อและการจ้างงานของเฟด และมีแนวโน้มว่ายังคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งก่อนที่จะมีความคืบหน้ามากขึ้น" นายพาวเวลกล่าวในแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้

นายพาวเวลย้ำว่า เฟดมีความมุ่งมั่นที่จะใช้เครื่องมือทุกอย่างเพื่อพยุงเศรษฐกิจสหรัฐ และสร้างความมั่นใจว่าการฟื้นตัวจะมีความแข็งแกร่งมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

นอกจากนี้ นายพาวเวลยังกล่าวว่า แรงกดดันด้านราคายังคงอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่มาก

"เมื่อพิจารณาในรอบ 12 เดือน อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับเป้าหมาย 2% ของเรา" นายพาวเวลกล่าว

ขณะเดียวกัน ประธานเฟดระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อ แต่ก็ไม่ได้สร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ โดยจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ลดต่ำลง และความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนในวงกว้าง ได้สร้างความหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

นายพาวเวลยังกล่าวว่า ตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐได้ฟื้นตัวขึ้นแล้ว ขณะที่การลงทุนของภาคธุรกิจและภาคการผลิตได้ดีดตัวขึ้นเช่นกัน โดยได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากเฟดและสภาคองเกรส

อย่างไรก็ดี นายพาวเวลไม่ได้ระบุถึงการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในขณะนี้แต่อย่างใด

นอกจากนี้ นายพาวเวลยังมีกำหนดกล่าวแถลงการณ์ต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันพรุ่งนี้

การแถลงของนายพาวเวลในสัปดาห์นี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขาจะกล่าวถ้อยแถลงต่อสภาคองเกรสชุดใหม่ที่พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็เป็นรัฐบาลที่มาจากพรรคเดโมแครตเช่นกัน

ถ้อยแถลงของนายพาวเวลครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญ เนื่องจากนักลงทุนกำลังกังวลว่า การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และตัวเลขเงินเฟ้อที่ส่งสัญญาณพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจผลักดันให้เฟดยุติการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน หลังจากที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยใกล้ 0% ต่อไปอีกราว 2 ปี

ก่อนหน้านี้ เฟดเคยส่งสัญญาณชะลอการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ในปี 2556 ซึ่งส่งผลให้เฟดลดการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจ ทำให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทและตลาดหุ้นทั่วโลกทรุดตัวลงอย่างหนักในปีดังกล่าว