ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อน นลท.ขายสกุลเงินปลอดภัยรับความหวังสหรัฐกระตุ้นศก.

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (21 ม.ค.) โดยนักลงทุนเทขายดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากคาดการณ์ว่ารัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเร่งออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน หลังจากตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก

ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุล ลดลง 0.40% แตะที่ 90.1200 เมื่อคืนนี้

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 103.51 เยน จากระดับ 103.53 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8852 ฟรังก์ จากระดับ 0.8898 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2628 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2643 ดอลลาร์แคนาดา

ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2159 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2107 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.3725 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3645 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 0.7761 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7744 ดอลลาร์สหรัฐ

นักลงทุนคาดการณ์ว่า ข้อมูลแรงงานที่อ่อนแอของสหรัฐจะผลักดันให้คณะบริหารของปธน.ไบเดนเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกอยู่ที่ระดับ 900,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 16 ม.ค. ซึ่งแม้ว่าลดลง 26,000 รายจากสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าระดับ 665,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่ทำไว้ในช่วงปี 2550-2552 ซึ่งขณะนั้นเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่

ทั้งนี้ ปธน.โจ ไบเดนได้นำเสนอมาตรการ "American Rescue Plan" วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งครอบคลุมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจากระดับ 7.25 ดอลลาร์/ชั่วโมงในปัจจุบัน สู่ระดับ 15 ดอลลาร์, การเพิ่มวงเงินในการส่งเช็คเงินสดให้แก่ชาวอเมริกันเป็นคนละ 2,000 ดอลลาร์ จากเดิมที่ได้คนละ 600 ดอลลาร์ และเพิ่มวงเงินช่วยเหลือคนตกงานเป็น 400 ดอลลาร์/สัปดาห์ โดยจะขยายโครงการช่วยเหลือดังกล่าวไปจนถึงสิ้นเดือนก.ย.

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านพุ่งขึ้น 5.8% ในเดือนธ.ค. สู่ระดับ 1.669 ล้านยูนิต สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.560 ล้านยูนิต จากระดับ 1.547 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย.

ส่วนในคืนนี้ ทางการสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค. และมาร์กิตเตรียมเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนม.ค.ของสหรัฐ