ดาวโจนส์พุ่งกว่า 100 จุด อานิสงส์แรงซื้อเก็งกำไร,ตัวเลขเศรษฐกิจแกร่ง

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุดในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนช้อนซื้อหุ้นที่ดิ่งลงวานนี้

นอกจากนี้ การซื้อขายยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก เปิดเผยดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ที่แข็งแกร่ง

ณ เวลา 21.05 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 34,719.23 จุด บวก 141.66 จุด หรือ 0.41%

ทั้งนี้ เฟดสาขานิวยอร์ก รายงานว่า ดัชนีภาคการผลิตพุ่งขึ้นสู่ระดับ 34.3 ในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 18.0

หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน

อย่างไรก็ดี หุ้นแอปเปิล อิงค์ร่วงลง 0.74% หลังการเปิดตัว iPhone 13 วานนี้

ดัชนีดาวโจนส์ปิดดิ่งลงเกือบ 300 จุดวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการที่รัฐบาลสหรัฐอาจปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทจดทะเบียน

ทั้งนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐสังกัดพรรคเดโมแครตได้เสนอให้มีการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล จากระดับ 21% สู่ระดับ 26.5% รวมทั้งเสนอให้ปรับขึ้นภาษีกำไรที่ได้จากการลงทุน (capital gains tax) และเงินปันผล สู่ระดับ 28.8% ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณวงเงิน 3.5 ล้านล้านดอลลาร์

นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า หากข้อเสนอการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลผ่านความเห็นชอบในสภาคองเกรส จะทำให้รายได้ของบริษัทในดัชนี S&P 500 ลดลง 5% ในปี 2565

ถึงแม้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดีดตัวขึ้นในวันนี้ แต่สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐมักปรับตัวย่ำแย่ในเดือนก.ย.

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก "Stock Trader's Almanac" ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2493 เดือนก.ย.เป็นเดือนที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวย่ำแย่ที่สุดของปี และนับตั้งแต่ปี 2488 ดัชนี S&P 500 ร่วงลงเฉลี่ย 0.56% ในเดือนก.ย. ขณะที่เดือนก.พ.เป็นอีกหนึ่งเดือนที่ดัชนี S&P 500 มักปรับตัวลง

สำหรับในเดือนก.ย.ปีนี้ ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงแล้วเกือบ 2% ส่วนดัชนี S&P 500 ร่วงลงมากกว่า 1% โดยมีแนวโน้มเป็นเดือนที่มีการปรับตัวย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2563

นักวิเคราะห์เตือนว่า หลังจากปรับตัวขึ้น 8 เดือนติดต่อกัน ขณะนี้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทกำลังมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการปรับฐานจากปัจจัยหลายประการ เช่น การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจประกาศปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมเดือนนี้, การที่สภาคองเกรสอาจให้การอนุมัติการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

นางลิซ แอน ซอนเดอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Charles Schwab เตือนว่าตลาดหุ้นอาจปรับฐานมากกว่า 3% หรือ 4% ในเดือนนี้

นอกจากนี้ สถิติที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐมักดิ่งลงอย่างหนักในเดือนก.ย. หากเป็นปีแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งทำให้ดัชนี S&P 500 ร่วงลงเฉลี่ย 0.73% ในเดือนก.ย.ของปีดังกล่าว

ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นในช่วงแรกวานนี้ ขณะที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาด

นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 21-22 ก.ย. เพื่อหาสัญญาณการปรับลดวงเงิน QE และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดวานนี้