ดาวโจนส์วูบกว่า 700 จุด หลากปัจจัยรุมถล่มวอลล์สตรีท

ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทรุดตัวลงกว่า 700 จุด ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป บริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน ซึ่งนักวิเคราะห์เตือนว่าอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

ดัชนีความผันผวน CBOE หรือ CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท พุ่งขึ้นเหนือระดับ 26 ในวันนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.

ณ เวลา 23.26 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,880.89 จุด ลบ 703.99 จุด หรือ 2.04%

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงตั้งแต่เปิดตลาดวันนี้ และมีแนวโน้มทำสถิติทรุดตัวลงมากที่สุดภายในวันเดียวนับตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.

หลักทรัพย์เกือบทั้ง 30 หลักทรัพย์ในดัชนีดาวโจนส์ต่างดิ่งลงในการซื้อขายวันนี้

หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงนำตลาด ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงเช่นกัน ตามการทรุดตัวของราคาน้ำมัน

นักวิเคราะห์เตือนว่า หลังจากปรับตัวขึ้น 7 เดือนติดต่อกัน ขณะนี้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทกำลังมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการปรับฐานจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ การผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทเอเวอร์แกรนด์, การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจประกาศปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมเดือนนี้, การที่สภาคองเกรสอาจให้การอนุมัติการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล, ความกังวลเกี่ยวกับเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ รวมทั้งความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

นายแลร์รี เบรนนาร์ด นักวิเคราะห์จากบริษัททีเอส ลอมบาร์ด ระบุว่า การผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์จะทำให้วิกฤตการณ์ทางการเงินลุกลามออกไปจนอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

เอเวอร์แกรนด์ออกแถลงการณ์ยอมรับว่าบริษัทกำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ขณะที่บริษัทมีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ 2 งวดในเดือนนี้ โดยมีกำหนดชำระดอกเบี้ยวงเงิน 83.5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2,780 ล้านบาท ในวันที่ 23 ก.ย.ของหุ้นกู้ที่มีกำหนดครบอายุเดือนมี.ค.2565 และมีกำหนดชำระดอกเบี้ยวงเงิน 47.5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1,580 ล้านบาท ในวันที่ 29 ก.ย.ของหุ้นกู้ที่ครบอายุเดือนมี.ค.2567

หากเอเวอร์แกรนด์ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยเมื่อถึงวันกำหนดชำระดังกล่าว ทางบริษัทจะมีเวลาอีก 30 วันในการชำระดอกเบี้ย มิฉะนั้นจะถือว่าบริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ซึ่งหากเอเวอร์แกรนด์ตกอยู่ในสภาพผิดนัดชำระหนี้ ทางบริษัทจะต้องทำการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งคาดว่านักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์จะได้รับส่วนแบ่งการชำระคืนในสัดส่วนต่ำ

ข้อมูลที่มีการยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ระบุว่า เอเวอร์แกรนด์มีตราสารเชิงพาณิชย์มูลค่ารวม 2.057 แสนล้านหยวน (3.2 หมื่นล้านดอลลาร์) หรือราว 1 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2563

มีการประเมินว่า ขณะนี้เอเวอร์แกรนด์มีหนี้สินมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 10 ล้านล้านบาท เทียบเท่ากับ 2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีน หลังจากที่บริษัทได้ทำการกู้เงินมาเป็นเวลาหลายปีเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน

นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 21-22 ก.ย. ท่ามกลางความกังวลว่าเฟดอาจส่งสัญญาณการปรับลดวงเงิน QE ในการประชุมครั้งนี้

นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับลดวงเงิน QE ก่อนสิ้นปีนี้

ทั้งนี้ นายพาวเวลกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐได้มาถึงจุดที่ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากนโยบายเฟดอีกต่อไป ซึ่งหมายความว่าเฟดมีแนวโน้มปรับลดวงเงิน QE ก่อนสิ้นปีนี้ ตราบใดที่เศรษฐกิจยังคงมีการขยายตัว

นายวิลเลียม ดัดลีย์ อดีตประธานเฟด สาขานิวยอร์ก ระบุในวันนี้ว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกที่ทรุดตัวลงในวันนี้ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ จะไม่ส่งผลให้เฟดเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจเกี่ยวกับแผนการปรับลดวงเงิน QE

"เฟดจะไม่มีปฏิกริยาต่อความเคลื่อนไหวในตลาดเพียงเล็กน้อย โดยเลื่อนแผนการปรับลด QE" นายดัดลีย์กล่าว

นอกจากนี้ นายดัดลีย์ยังเปิดเผยว่า "ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงตามตลาดหุ้นแห่งอื่น ขณะที่นักลงทุนกังวลว่าวิกฤตการณ์จากการผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์จะลุกลามออกไป และกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลก"

อย่างไรก็ดี นายดัดลีย์คาดว่า เฟดจะส่งสัญญาณในการประชุมสัปดาห์นี้ว่า เฟดจะทำการปรับลด QE ในการประชุมเดือนพ.ย.

การทรุดตัวลงของดัชนีดาวโจนส์ในวันนี้ สอดคล้องกับสถิติในอดีตที่บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักปรับตัวย่ำแย่ในเดือนก.ย.

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก "Stock Trader's Almanac" ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2493 เดือนก.ย.เป็นเดือนที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวย่ำแย่ที่สุดของปี และนับตั้งแต่ปี 2488 ดัชนี S&P 500 ร่วงลงเฉลี่ย 0.56% ในเดือนก.ย. ขณะที่เดือนก.พ.เป็นอีกหนึ่งเดือนที่ดัชนี S&P 500 มักปรับตัวลง

สำหรับในเดือนก.ย.ปีนี้ ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงแล้ว 2.2% ส่วนดัชนี S&P 500 ร่วงลง 2.0% โดยมีแนวโน้มเป็นเดือนที่มีการปรับตัวย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง 1.4%

นางลิซ แอน ซอนเดอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Charles Schwab เตือนว่าตลาดหุ้นอาจปรับฐานมากกว่า 3% หรือ 4% ในเดือนนี้

นอกจากนี้ สถิติที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐมักดิ่งลงอย่างหนักในเดือนก.ย. โดยเฉพาะหากเป็นปีแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งทำให้ดัชนี S&P 500 ร่วงลงเฉลี่ย 0.73% ในเดือนก.ย.ของปีดังกล่าว