ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ 1.5 พันลบ.TTA ที่ BBB แนวโน้ม Negative

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) ที่ระดับ "BBB" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ "BBB" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1.5 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "BBB" ด้วย ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้ชำระคืนหนี้ที่จะครบกำหนด และใช้ในการซื้อเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองลำใหม่

อันดับเครดิตของบริษัทได้รับการสนับสนุนจากฐานะการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการที่บริษัทมีเงินสดจำนวนมากในมือ อย่างไรก็ดี อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความเสี่ยงในธุรกิจหลักที่อยู่ในระดับสูง คือ ธุรกิจขนส่งสินค้าแห้งเทกองทางเรือและธุรกิจให้บริการวิศวกรรมนอกชายฝั่งที่มีความไม่แน่นอนและผันผวนสูง

ธุรกิจเรือขนส่งสินค้าของบริษัทฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เกิดภาวะหยุดชะงักอันเป็นผลกระทบจากโรคโควิด-19 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ค่าระวางเรือ (Time Charter Equivalent-TCE) โดยเฉลี่ยของบริษัทอยู่ที่ 11,444 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำ เทียบกับ 7,662 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าการฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 จนถึงปี 2564 โดยพิจารณาจากการปรับตัวของอุปสงค์และอุปทานในทิศทางที่ดีในอุตสาหกรรม รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญของการค้าทางทะเล อย่างไรก็ดี ภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความอ่อนไหวจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อการฟื้นตัวของค่าระวางเรือ

ธุรกิจการให้บริการนอกชายฝั่งของบริษัทยังคงเผชิญกับแรงกดดันและคาดว่าจะยังคงประสบกับผลการดำเนินงานที่ขาดทุนในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 บริษัทมีมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบที่ 179 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะรับรู้และเป็นฐานรายได้ให้กับบริษัท 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 และ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 และ 54 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2565 การที่บริษัทที่ดำเนินธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติยังคงมีความระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ประกอบกับอุตสาหกรรมยังคงเผชิญภาวะอุปทานส่วนเกิน การต่อสัญญาจึงมีความไม่แน่นอนหรือถูกกดดันด้านราคา ในขณะที่ความพยายามของบริษัทในการขยายกิจการไปยังธุรกิจและพื้นที่ให้บริการอื่น ๆ เช่น งานรื้อถอน (Decommissioning) ในอ่าวไทยยังไม่เกิดขึ้น ทริสเรทติ้งจึงมองว่าการฟื้นตัวของธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งยังมีความไม่แน่นอน และผลการดำเนินงานที่ขาดทุนติดต่อกันจะลดทอนความแข็งแกร่งของฐานะการเงินโดยรวมของบริษัท

งบการเงินที่แข็งแกร่งยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการสนับสนุนอันดับเครดิตของบริษัท กระแสเงินสดและเงินลงทุนในหลักทรัพย์มูลค่า 7 พันล้านบาทยังถือว่ามีจำนวนมากพอที่จะรองรับความต้องการสภาพคล่องของบริษัทในยามจำเป็นได้ ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของบริษัทใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง บริษัทมีรายได้ 9.5 พันล้านบาท และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย 349 ล้านบาท บริษัทมีผลขาดทุน 3.4 พันล้านบาทสำหรับงวด โดยมีสาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลขาดทุนทางบัญชี จากการขายเงินลงทุนใน บริษัท เอเชีย ออฟชอร์ ดริลลิ่งค์ จำกัด (AOD) และมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงาน ปกติสำหรับงวด 1 พันล้านบาท

ขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 13.3% (ปรับให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) จากสมมติฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 10% ในปี 2563 ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 20%-30% ในปี 2564-2565

แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" สะท้อนถึงความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของผลประกอบการในธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งและผลการดำเนินงานที่ขาดทุนอย่างต่อเนื่องจะลดทอนความแข็งแกร่งของฐานะการเงินโดยรวมของบริษัท

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสในการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "Stable" หรือ "คงที่" อาจเกิดขึ้นได้หากผลประกอบการของบริษัทดีกว่าที่ประมาณการและธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งมีผลการดำเนินงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลประกอบการของบริษัทด้อยลงอย่างต่อเนื่อง หรือมีการลงทุนโดยการก่อหนี้ขนาดใหญ่