แนวโน้มดัชนีเช้าอ่อนตัวตามตลาดตปท.กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย-ปรับลดงบดุล

นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้อ่อนตัวระยะสั้น ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่เป็นลบ หลังนักลงทุนเทขายหุ้นซื้อบอนด์ จากยังกังวลเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปรับลดขนาดงบดุลบัญชีเร็วขึ้น ให้กรอบแนวรับ 1,670 จุด แนวต้าน 1,685 จุด

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้อ่อนตัวลงระยะสั้น ตามบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศที่เป็นลบเมื่อคืนนี้ หลังนักลงทุนเทขายหุ้นมาซื้อพันธบัตร (Bond) เนื่องจากยังกังวลต่อนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่เคยคาดไว้

แม้ตัวเลขเงินเฟ้อไม่ได้ออกมาสูงกว่าคาดการณ์ แต่ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูง อีกทั้งยังไม่มีความชัดเจนว่าเดือน ม.ค.นี้จะเริ่มชะลอตัวลงหรือไม่ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าจะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเดือน มี.ค.65 ครั้งแรกอย่างแน่นอน และปีนี้ก็คงปรับขึ้นอีก 3 ครั้ง รวมไปถึงการปรับลดขนาดงบดุลบัญชี (Balance Sheet) เร็วด้วยราวกลางปีนี้ ก็น่าจะพูดเรื่องนี้กันมากขึ้น ฉะนั้น หุ้นที่ P/E แพง, หุ้นเทคโนโลยี ที่คาดหวังการเติบโตสูงจึงโดนเทขายออกมาในตลาดต่างประเทศเมื่อคืนนี้

ทั้งนี้ บ้านเราก็น่าจะเป็นไปตามตลาดต่างประเทศด้วย แต่ข้อดีคือตลาดหุ้นไทยมีหุ้นเทคโนโลยีไม่มาก โดยหลักยังเป็นหุ้น Value, Commodity ซึ่งเมื่อคืนนี้ก็ไม่ได้ปรับตัวลงมากนัก

ให้กรอบแนวรับไว้ที่ 1,670 จุด และแนวต้าน 1,685 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (13 ม.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,113.62 จุด ลดลง 176.70 จุด (-0.49%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,659.03 จุด ลดลง 67.32 จุด (-1.42%) และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,806.81 จุด ร่วงลง 381.58 จุด (2.51%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 242.14 จุด หรือ -0.85% , ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 11.19 จุด หรือ -0.31% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 243.91 จุด หรือ -1%
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (13 ม.ค.) 1,680.02 จุด เพิ่มขึ้น 1.52 จุด (+0.09%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 988.54 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ม.ค.65
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (13 ม.ค.) ปิดที่ระดับ 82.12 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 52 เซนต์ หรือ 0.6%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (13 ม.ค.) อยู่ที่ 6.04 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 33.24 ทรงตัวจากวานนี้ ตลาดรอปัจจัยใหม่ คาดกรอบวันนี้ 33.20-33.35
  • “รัฐบาล” เล็งออกแพ็กเกจลดค่าครองชีพ “ประชาชน-ผู้ถือบัตรสวัสดิการ-กลุ่มเปราะบาง” “สุพัฒนพงษ์” ถก “คลัง” วันนี้ เล็งขยับคนละครึ่งเฟส 4 เร็วขึ้น ยืนยันดูแลราคาสินค้าเต็มที่ คาดเงินเฟ้อทั้งปี 1-3% ธุรกิจร้านอาหารชี้ วัตถุดิบขึ้นทุกรายการ “ชอคโกแลตวิลล์” ยืนยันตรึงราคา “เซ็น” ห่วงร้านอาหารสตรีทฟู้ดแบกต้นทุนไม่ไหวต้องเลิกกิจการ
  • เปิดรายงานผลศึกษาของตลาดหลักทรัพย์ หากรัฐบาลเดินหน้าจัดเก็บภาษี เทรดหุ้น 0.1% สภาพคล่องซื้อขายรายวันทั้งระบบ วูบ 70% กระทบชิ่งค่าคอมมิชชั่นเพิ่มแต่รายได้โบรกเกอร์ดิ่งสวนทางเหตุสถาบันหนีลงทุนต่างประเทศด้าน “เฟทโก้” จับมือสมาคมฯตลาดทุน ส่งหนังสือขอพบ “อาคม” ชี้แจงเก็บภาษีหุ้น
  • ผอ.อนามัยโลกแถลง สัปดาห์เดียวประชาชนติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มทุบสถิติ 15 ล้านคน หลังโอมิครอนแซงเดลตาขึ้นมาเป็นสายพันธุ์หลักทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญชี้โควิดกำลังจะเป็นโรคประจำถิ่น แต่เรายังไม่ถึงจุดนั้น กทม. เผยกลุ่มบุคลากรการแพทย์-ด่านหน้าติดโควิด 47 รายแต่อาการไม่รุนแรงส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนแล้ว ไม่ส่งผลต่อภาระงานหรือปิดแผนก เผยจุดเสี่ยงติดโควิด
  • ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค.64 ดัชนีปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ โดยปรับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน นับตั้งแต่เดือน เม.ย.64 เป็นต้นมา โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม, ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 40.1, 42.7 และ 55.7 ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากเดือน พ.ย.2564 ที่อยู่ที่ 38.8, 41.4 และ 54.5 ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค.64, ดัชนีเชื่อมั่นในปัจจุบันและในอนาคต อยู่ที่ 46.2, 30.0 และ 53.8 ตามลำดับ ดีขึ้นจาก 44.9, 28.5 และ 52.7 ตามลำดับ
  • กบร.ขยายเวลาช่วยสายการบินออกไปอีก 3 เดือน ลุยลดค่าขึ้นลง-บริการที่เก็บเครื่องบิน 50% ขยายเวลาชำระหนี้ ลดค่าเช่าทุกกิจกรรม หลังโอมิครอนระบาดหนัก ผู้โดยสารชะลอตัวลง

หุ้นเด่นวันนี้

  • KTC (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 65.00 บาท ตั้งเป้ารายได้ปี 22 โต 10% ยอดสินเชื่อและยอดการใช้จ่ายจะโตตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว สาขาจะทำงานได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีการ Lockdown มองเป้าโต 10% Conservative เกินไป การตั้งสำรองและ NPL ปี 65 มีแนวโน้มลดลง หนุนกำไร และอีกหนึ่งจุดแข็งคือการบริหารลูกหนี้ทำได้ดีกว่ากลุ่ม ประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 5.79 พัน ลบ. และ 6.55 พัน ลบ. +8.7%YoY, +13%YoY ตามลำดับ
  • TTB (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” เป้าหมาย 1.80 บาท คาดกำไรสุทธิปี 65 จะเติบโตสูงสุดในกลุ่มธนาคาร +32% Y-Y จากประโยชน์หลังการควบรวมเต็มปีทั้งการ Cross Selling รวมถึงลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน และเป็นธนาคารเดียวที่ ROE จะสูงเหนือระดับก่อน COVID-19 ฐานลูกค้าที่เป็นรายย่อยมากขึ้นทำให้ Loan Yield สูงและมีโอกาสเกิดการ Rerate Valuation ขึ้น ขณะที่ปัจจุบัน TTB ซื้อขายที่ระดับ PBV เพียง 0.6 เท่า ซึ่งเรามองว่าต่ำเกินไป
  • TNP (กรุงศรี) “ซื้อ” เป้าหมาย Consensus 6.7 บาท คาดการณ์กำไรสุทธิ Q4/64 ยังเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งตามผลบวกของฤดูกาล (High season) ขณะที่ปีนี้ทิศทางกำไรยังโตเด่นจากแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้น 6-7 สาขาต่อปีทำให้มี Growth อย่างน้อย 20-30% จากจำนวนสาขาในปัจจุบันที่ 30 สาขา
  • AQ-W5 เริ่มเทรดวันแรกวันนี้ (14 ม.ค.) จำนวนหน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน 42,660,889,866 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ (ใบสำคัญแสดงสิทธิ:หุ้นสามัญใหม่ 1:1) ราคาการใช้สิทธิ 0.028 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปี 11 เดือน 21วัน นับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ วันใช้สิทธิครั้งแรก 31 มี.ค.65 วันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 6 ธ.ค.67

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ม.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top