KC ปักเป้าดันรายได้ 1 พันลบ.ใน 3-5 ปีลุยบ้านพรีเมียม-ร่วมทุน,ศึกษาธุรกิจใหม่

นายสันติ ปิยะทัต กรรมการผู้จัดการ บมจ.เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ (KC) เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเต็มที่หลังจากหุ้น KC กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯอีกครั้ง โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ เค.ซี. รวมถึงสร้างผลการดำเนินให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่ตั้งเป้าสร้างรายได้กลับขึ้นไปแตะ 1 พันล้านบาทภายใน 3-5 ปี

บริษัทมีแผนจะรุกเปิดโครงการบ้านหรูระดับพรีเมียม ราคา 20-50 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้บริษัทสามารถผลักดันรายได้กลับขึ้นมาเหมือนในอดีต เพราะมองว่าโครงการบ้านหรูระดับพรีเมียมยังมีความต้องการซื้อค่อนข้างมากในปัจจุบันและในอนาคต เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และไม่ได้เปราะบางต่อภาวะเศรษฐกิจ อีกทั้งการขายบ้านที่มีมูลค่าสูงจะช่วยให้บริษัทสามารถผลักดันการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ทำให้รายได้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันบริษัทยังมองถึงการแตกธุรกิจอื่นนอกเหนือจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาของทีมบริหาร ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนออกมาในอนาคต โดยจะเป็นส่วนที่เข้ามาสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในอนาคตอย่างยั่งยืน

พร้อมกับการร่วมมือกับพันธมิตรเจ้าของที่ดินในการร่วมทุนพัฒนาโครงการบ้านแนวราบระดับพรีเมียม ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่เข้ามาช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาโครงการใหม่ๆโดยที่ใช้เงินลงทุนไม่มาก แต่ได้รับผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากการซื้อที่ดินใหม่เข้ามาพัฒนาเอง ทำให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตให้กับผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

“หลังจากที่เราเข้ามาปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการภายในตามกฎเกณฑ์ สร้างความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ และกลับมาเทรดในตลาดแล้ว ก็พร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโต และพร้อมผลักดันธุรกิจ เพื่อสร้างผลตอบแทนกลับมาให้กลับผู้ถือหุ้นทุกรายที่เชื่อมั่นใน KC”

นายสันติ กล่าว

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 65 บริษัทวางเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 2-3 เท่าจากปีก่อน หรือมาอยู่ที่ 300 ล้านบาท โดยที่จะมาจากการขายโครงการบ้านแนวราบ อาคารพาณิชย์ ในทำเลของบริษัทที่พัฒนาแล้ว ได้แก่ แพรกษา สุวินทวงศ์ นิมิตรใหม่ และแพลตฟอร์ม ออคิด ปาร์ค มูลค่ารวมกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยโอนรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) รวมอยู่ที่ 106 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เข้ามาต่อเนื่องในครึ่งปีหลังนี้

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าของที่ดินที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการมาร่วมทุน โดยบริษัทจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการก่อสร้างและบริหารงานขาย ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรเจ้าของที่ดินราว 3 รายคาดว่าจะเห็นความชัดเจนอย่างน้อย 1 รายภายในปีนี้ เป็นโครงการบ้านเดี่ยวหรูในกรุงเทพฯ ระดับราคา 20-50 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวมราว 1 พันล้านบาท เจาะกลุ่มกลุ่มกำลังซื้อสูง ทำเลที่อยู่ระหว่างการเจรจา ได้แก่ เสนานิคมฯ พระราม 2 เป็นต้น

“หลังจากนี้การขยายโครงการใหม่จะเน้นไปที่การร่วมกับพันธมิตรเจ้าของที่ดินมากขึ้น และควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงการบนที่ดินเดิมของบริษัทที่ยังสามารถรองรับการพัฒนาได้อีก 2-3 ปีข้างหน้า”

นายสันติ กล่าว

ขณะที่บริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะสามารถมีกำไรได้ หลังจากที่ไตรมาส 1/65 พลิกกลับมามีกำไร และล้างขาดทุนสะสมหมดแล้ว จากการลดพาร์เป็น 0.70 บาท/หุ้น รวมถึงการลดภาระหนี้ ทำให้ต้นทุนทางการเงินบริษัทลดลง ส่งผลให้การทำธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างเต็มที่ และสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ในปี 66 จากผลการดำเนินงานปี 65

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 มิ.ย. 65)

Tags: , , ,
Back to Top