รมว.คลัง ยันไม่แทรกแซงธปท.คุมค่าเงิน-กำหนดดอกเบี้ยนโยบาย

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลัง ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในทุกเรื่อง ทั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปัญหาความยืดเยื้อของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และสถานการณ์การอ่อนค่าของเงินบาท โดยยอมรับว่าเงินบาทอ่อนค่าลงจริง แต่ไม่ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษ เพราะเป็นหน้าที่ของ ธปท. โดย ธปท. เองก็มีความเห็นว่าจะดูแลติดตามให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างปกติให้มากที่สุด

ส่วนผลกระทบต่อราคาน้ำมันจากการนำเข้านั้น ถือว่าไม่มาก เพราะราคาน้ำมันไม่ผันผวนมากนัก ค่ากลางอยู่ที่ 90-95 ดอลลาร์ต่อบาเรล ยังต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาเรล ถือว่าเป็นระดับที่ดี แต่ก็ยังต้องติดตาม เพราะอีกไม่กี่เดือนจะเข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งทางฝั่งยุโรปจะมีการใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นต้องดูว่าราคาน้ำมันจะผันผวนอีกหรือไม่

“การที่เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% จะกระทบกับเศรษฐกิจไทยหรือไม่นั้น ยืนยันว่าคลังและ ธปท. ได้ดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเศรษฐกิจมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ทั้งผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก ราคาพลังงานและเรื่องสงคราม ส่วนไทยจะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามหรือไม่ เป็นการตัดสินใจของ ธปท.” นายอาคม กล่าว

นายอาคม กล่าวอีกว่า ในการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทุกแห่ง รวมถึงไทย จะต้องดูปัจจัยหลักสำคัญ 3 เรื่อง คือ 1. การขึ้นดอกเบี้ยจะช่วยลดเงินเฟ้อได้จริงหรือไม่ และจำเป็น ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดเงินเฟ้อ 2. การขึ้นดอกเบี้ยต้องไม่กระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมา ธปท. ก็ต้องการดูแลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวกลับมาสู่ภาวะปกติได้เร็วที่สุด และ 3. การขึ้นดอกเบี้ยจะต้องดูเรื่องเงินทุนไหลออก แต่ที่ผ่านมาพบว่ามีเงินทุนไหลออกบ้าง แต่จำนวนไม่มาก และยังไม่มีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ทุกคนทราบอยู่แล้วว่าเป้าหมายเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อ เพราะว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชัดเจนว่าจะมีการขยายตัวที่ร้อนแรง ดังนั้นจึงต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อทำให้เศรษฐกิจเย็นลง 0.75% ถึง 3 ครั้งติดต่อกัน ถือว่าเกินครึ่งหนึ่งของเป้าหมายของเฟดที่ต้องการขึ้นดอกเบี้ยให้ถึงระดับ 4-4.5% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3-3.25%

ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็ได้มีการปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลงค่อนข้างมาก ทำให้มีความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย สหรัฐฯ จึงต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อยอมให้เศรษฐกิจโตช้าลง ดีกว่าปล่อยให้เศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้มีการใช้นโยบายดอกเบี้ยอย่างเข้มข้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทุกประเทศต้องติดตาม การดำเนินการของสหรัฐฯ และโลก รวมถึงไทยด้วย ส่วนธนาคารกลางของประเทศไหนจะปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแต่ละประเทศนั้นๆ

นายอาคม กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงการคลัง ยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยปี 65 จะโตได้ที่ 3-3.5% ถือว่าเป็นระดับที่ดีแล้ว และน่าจะทำได้ โดยเป็นผลมาจากการส่งออกที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าลง และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ที่ตั้งเป้าว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8 ล้านคน ซึ่งเชื่อว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย จากปัจจุบันที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแล้ว 5 ล้านคน หากช่วงเวลาที่เหลือ มีเข้ามาอีกเดือนละ 1 ล้านคน ก็จะได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ก.ย. 65)

Tags: , , , , , , , ,
Back to Top