ตลาดอสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรมเริ่มฟื้นรับรัฐเดินหน้าระเบียงศก.หลังกระจุกตัวในภาคกลาง-ตอ.

นายมาร์คัส เบอร์เทนชอว์ กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายตัวแทนนายหน้า บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมของไทยเริ่มมีการฟื้นตัวมาตั้งแต่ในปี 64 เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกปรับตัวดีขึ้นเพื่อรองรับการหยุดชะงักที่เกิดจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทั่วโลก

ด้วยเหตุนี้เราเห็นการฟื้นตัวของเครื่องบ่งชี้ที่สำคัญหลายประการ เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม และปริมาณการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยปริมาณการซื้อขายพื้นที่เพื่อการอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นด้วยราคาที่ทยานขึ้นอย่างต่อเนื่องสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ในปี 64 จำนวนพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อขายหรือให้เช่า ซึ่งเป็นที่ดินพร้อมขายหรือให้เช่าในนิคมอุตสาหกรรม เขตอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นเพียง 0.5% หรือ 857 ไร่ รวมพื้นที่ทั้งหมด 170,322 ไร่ แม้ว่าจะมีการประกาศโครงการอุตสาหกรรมหลายแห่งตลอดปี แต่ในความเป็นจริงนั้นมีเพียง พื้นที่อุตสาหกรรมสยามอีสเทิร์น 3 และโรจนะชลบุรี 2 เท่านั้นที่พร้อมขาย

พื้นที่เพื่อการอุตสาหกรรมในประเทศไทยยังคงกระจุกอยู่ในเขตอีสเทิร์นซีบอร์ด ด้วยส่วนแบ่งตลาด 62% มีอุปทานเพิ่มขึ้น 1% ต่อปี อยู่ที่ 105,694 ไร่ ในขณะเดียวกันไม่มีการบันทึกการเติบโตของอุปทานในตลาดอื่นๆ เขตอีสเทิร์นซีบอร์ดเป็นศูนย์กลางการผลิตแบบดั้งเดิม ไปจนถึงอุตสาหกรรมหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ตลอดจนผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ซึ่งได้รับประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคมทั้งสนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด และท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งทั้งหมดอยู่ในระหว่างการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการโดยรวม นอกจากนี้การกำหนดพื้นที่เป็นระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อช่วยเปลี่ยนประเทศไทยให้กลายเป็นโรงไฟฟ้าสำหรับการผลิตในภาคอุตสาหกรรมส่งผลให้ได้รับความสนใจทางการลงทุนเป็นจำนวนมากจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

จังหวัดในภาคกลางทั้งจังหวัดอยุธยา ปทุมธานี และสระบุรี ครองส่วนแบ่งตลาดใหญ่เป็นอันดับสองที่ 15% หรือ 26,200 ไร่ พื้นที่ในเขตนี้เป็นคลัสเตอร์หลักสำหรับโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีส่วนทำให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์และอะไหล่ชั้นนำของโลก และเป็นผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกอีกด้วย เมื่อปี 54 ภาคกลางจำต้องประสบกับเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ แต่สามารถฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ และยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มนักลงทุนแม้ว่าการเติบโตของอุปทานมีค่อนข้างจำกัด

แม้จะมีกิจกรรมด้านที่ดินอุตสาหกรรมกระจุกตัวเป็นอย่างมากใน 2 ภูมิภาคหลักนี้ แต่รัฐบาลยังคงตั้งเป้าที่จะขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจไปทั่วประเทศผ่านการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZs) โดยรวมไปถึงจังหวัดในเขตชายแดน เช่น ตาก ตราด มุกดาหาร และหนองคาย ทั้งนี้สะท้อนให้เห็นในแผนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม โดยนิคมฯ ตากและนิคมฯ หนองคายคาดว่าจะมีการเพิ่มพื้นที่อุตสาหกรรม 837 ไร่ และ 2,961 ไร่ ตามลำดับในปี 65

ภาคการผลิตของไทยแสดงสัญญาณการฟื้นตัวในปี 64 แม้ว่าจะมีความผันผวนจากสถานการณ์โควิด-19 อยู่บ้างก็ตาม แต่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) อยู่ที่ 103 จุด ณ สิ้นปี 64 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมในปี 62 อุตสาหกรรมหลักต่างๆ ที่ขยายตัวในปีนี้

ขณะเดียวกันปริมาณการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ได้รับอนุมัติโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ฟื้นตัวขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 42% ปีต่อปี เป็น 512 พันล้านบาท จากที่เคยลดลงติดต่อกันมากว่า 5 ปี ภาคอุตสาหกรรมที่นำหน้าในเชิงมูลค่าการลงทุนรวมที่ผ่านการอนุมัติแล้ว ได้แก่ การบริการและสาธารณูปโภค (35%) ตามมาด้วยอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (16%)

ทั้งนี้ โอกาสทางการเติบโตที่มากมายสำหรับตลาดอสังหาฯเพื่อการอุตสาหกรรมในระยะกลาง – ยาวยังคงมีอยู่เรื่อยๆ บริษัทต่างชาติหลายแห่งยังคงดำเนินการย้ายฐานการผลิตของตนออกจากประเทศจีน เพื่อลดความเสี่ยงและกระจายห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ที่ตั้งศูนย์กลางในภูมิภาค และสิ่งจูงใจที่นำเสนอโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะส่งผลให้ประเทศไทยมีความน่าสนใจมากขึ้นในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังคงได้รับความสนใจเป็นอย่างมากและจะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักการลงทุนในอนาคต โดยสามารถแซงหน้าภูมิภาคอื่นๆ ทั้งหมดได้ ด้วยโครงการที่ขอรับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในปี 2564 กว่า 453 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 220 พันล้านบาท

ตามการคาดการณ์ การส่งเสริมประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางระหว่างประเทศสำหรับสินค้าและบริการทางการแพทย์ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่จัดลำดับความสำคัญของอุตสาหกรรมทางการแพทย์แสดงผลลัพธ์ที่ดี สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้อนุมัติการลงทุนในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ โดยเพิ่มขึ้นจาก 13 พันล้านบาท ในปี 2562 และ 16 พันล้านบาทในปี 2563 เป็น 6 หมื่นล้านบาทในปีนี้

ในขณะเดียวกันการเพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วโลกได้ก่อให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโครงสร้างพื้นฐานในภาคอุตสาหกรรมนี้ การลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศไทยมีสิทธิ์ได้รับสิ่งจูงใจมากมายด้วยแผนการส่งเสริมการขายใหม่ที่เปิดตัวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หนึ่งด้านที่มีการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน คือ ตลาดศูนย์ข้อมูล โดยมีบริษัทระดับนานาชาติชั้นนำมากมายร่วมมือกับนักพัฒนาท้องถิ่น ในการค้นหาพื้นที่เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูลของตน จากการประมาณการ ตลาดศูนย์ข้อมูลของประเทศไทยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อปี 26.5% โดยระหว่างปี 62 – 69 จะแตะระดับที่ 30 พันล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีภัยคุกคามต่อการเติบโตของตลาดอสังหาฯ เพื่อการอุตสาหกรรมในประเทศไทยอยู่เป็นจำนวนหนึ่ง การรุกรานยูเครนของรัสเซียได้เพิ่มความตึงเครียดให้กับสภาวะเศรษฐกิจโลกภายหลังการคว่ำบาตรของรัสเซีย แม้ว่าการค้าของไทยกับรัสเซียจะเกี่ยวข้องกันไม่มากนัก โดยมีมูลค่าเพียง 30 พันล้านบาทในปี 64 ก็ตาม แต่ผลกระทบจากความขัดแย้งดังกล่าวก่อให้เกิดความเสี่ยงหลายประการต่อเศรษฐกิจไทยและภาคการผลิต ส่วนภาคอุตสาหกรรมส่งผลกระทบต่อด้านต้นทุนการขนส่งและสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้นตาม ปัญหาบางประการ เช่น การขาดแคลนไมโครชิปในอุตสาหกรรมยานยนต์จะต้องหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน หากการชะลอตัวทางการส่งออกสินค้าได้รับการบรรเทาลง ในขณะเดียวกันราคาสินค้าบริโภคที่เพิ่มขึ้นของบางผลิตภัณฑ์ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและนมข้นหวาน อาจทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง หากไม่สามารถควบคุมได้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มิ.ย. 65)

Tags: , , ,
Back to Top