‘ชริ้งเฟล็กซ์ฯ’ ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 120 ล้านหุ้นเข้า mai

บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 120,000,000 หุ้น คิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO มูลค่าที่ตราไว้ (Par) 0.50 บาท/หุ้น มูลค่าตามราคาบัญชี (book value) 1.23 บาท/หุ้น และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

บริษทจะเสนอขายหุ้น IPO ทั้งจำนวนต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ นักลงทุนสถาบัน ผู้มีอุปการคุณของบริษัท และกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน, ลงทุนในโรงงานผลิตแห่งใหม่, ลงทุนในเครื่องจักรและปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรในโรงงานเดิม รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและใช้สำหรับการดำเนินการทั่วไป

ทั้งนี้ ชริ้งเฟล็กซ์ ประกอบธุรกิจ 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูป แบ่งเป็น 2 ประเภทตามระบบการพิมพ์ คือ ระบบการพิมพ์กราเวียร์ มีคุณภาพความละเอียดสูงทั้งตัวหนังสือ ภาพลายเส้น ภาพลายสกรีน และภาพลายธรรมชาติ และมีความรวดเร็ว เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่มีปริมาณมาก และ ระบบการพิมพ์ดิจิทัล ไม่ต้องใช้แม่พิมพ์ ใช้เทคนิคสร้างภาพด้วยระบบเลเซอร์ พิมพ์งานลายเส้นหรือภาพพิมพ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณภาพและความละเอียดสูง รองรับงานพิมพ์ที่มีปริมาณน้อย และสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

2.ผลิตภัณฑ์อื่น ได้แก่ แม่พิมพ์ (Printing Cylinder) บริษัทรับออกแบบและผลิตแม่พิมพ์ เพื่อใช้ในการผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูปในระบบการพิมพ์กราเวียร์ และ ฟิล์มยืด (Stretch Film) บริษัทมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์ฟิล์มยืด เพื่อใช้ในการพันพาเลทและห่อรัดสินค้าบนพาเลทเพื่อลำเลียงขนส่งให้กับลูกค้า รวมถึงจำหน่ายให้แก่ลูกค้าของบริษัท

บริษัทมีแผนลงทุนในอนาคต ได้แก่ โครงการลงทุนในโรงงานผลิตแห่งใหม่ บนพื้นที่ 5-2-45 ไร่ เพื่อเป็นโรงงานเห่งที่ 2 รองรับการขยายกำลังการผลิตที่เติบโตขึ้น รวมกำลังการผลิตที่เติบโตขึ้น ใช้งบประมาณทั้งหมดราว 100 ล้านบาท ไม่รวมมูลค่าที่ดินที่ซื้อมา 71.84 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จและผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 65, โครงการลงทุนในเครื่องจักรและปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรในโรงงานเดิมเพื่อขยายกำลังการผลิตในตลาดฟิล์มหดรัดรูป (Shrink Sleeve Label) และขยายกำลังการผลิตเพื่อสร้างตลาดใหม่กลุ่มฟิล์มใสที่มีความหดตัวสูง (POF Shrink) ในช่วงปี 63-64 ใช้งบลงทุนประมาณ 60 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะซื้อเครื่องลามิเนตและเครื่องเคลือบฟิล์ม (Combi) เพื่อสามารถผลิตสินค้าในกลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่ รวมถึงซื้อเครื่องพิมพ์ดิจิตอล (HP Indigo 20000) เพื่อรองรับตลาดงานพิมพ์ดิจิตอลในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถผลิตสินค้าได้ทั้งในกลุ่มฟิล์มหดรัดรูป ทุกประเภท และ กลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) โดยบริษัทคาดว่าลงทุนในช่วงปี 64-65 ใช้งบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท

ณ วันที่ 8 มิ.ย.63 บริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 220,000,000 บาท และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 160,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 320,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO แล้วจะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวนไม่เกิน 220,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 440,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท

โครงสร้างผู้ถือหุ้น ได้แก่ กลุ่มทอย นำโดยนายซุง ชง ทอย ถือหุ้นรวมกัน 65% หลังจากเสนอขายหุ้น IPO แล้วจะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 47.27% และกลุ่มปิยะตรึงส์ ถือหุ้น 35% จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 25.45%

ผลการดำเนินงานในช่วงปี 60-62 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 391.48 ล้านบาท 430.74 ล้านบาท และ 586.40 ล้านบาท ตามลำดับ เติบโตต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนลูกค้า เป็นผลจากการลงทุนในเครื่องจักรอย่างต่อเนื่องช่วยเพิ่มกำลังการผลิตและสามารถรองรับการขยายตัวของธุรกิจได้

ส่วนกำไรสุทธิเท่ากับ 19.54 ล้านบาท 30.84 ล้านบาท และ 56.90 ล้านบาท ตามลำดับ แปรผันตามการขยายตัวของธุรกิจที่มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สามารถควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องได้อย่างดี ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น

งวดไตรมาส 1/63 บริษัทมีรายได้รวม 165.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 138.54 ล้านบาทในไตรมาส 1/62 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 19.17% และกำไรสุทธิ 17.64 ล้านบาท จาก 13.41 ล้านบาทในไตรมาส 1/62 คิดเป็นเพิ่มขึ้น 31.54% ตามการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบลดลง

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีผลกระทบต่อผลการดำเนินการของบริษัทในระดับที่ต่ำ เนื่องจากสัดส่วนลูกค้ากว่า 80% อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานและยังเป็นที่ต้องการของตลาดในช่วงการแพร่ระบาด จนนำไปสู่การสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่มากขึ้นเพื่อรองรับต่อความต้องการของผู้บริโภค

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 มิ.ย. 63)

Tags: , , ,
Back to Top