สภาพัฒน์เคาะรอบแรกผ่าน 213 โครงการฟื้นฟูศก.รอชงครม.ก่อนใช้เงินกู้

นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยถึงความก้าวหน้าของการวิเคราะห์โครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตามแผนงานหรือโครงการที่ 3 ภายใต้ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 400,000 ล้านบาท

โดยโครงการที่เสนอมารอบแรกแล้วผ่านการคัดกรองเบื้องต้น และอยู่ระหว่างการคัดกรอง จำนวน 213 โครงการ วงเงิน 1.01 แสนล้านบาท (ณ วันที่ 23 มิ.ย.) จากที่หน่วยงานเสนอมาทั้งสิ้น 46,411 โครงการ ขอรับจัดสรรงบ 1,448,474 ล้านบาท แผนงานที่ผ่านรอบแรกมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก 129 โครงการ 58,069 ล้านบาท แผนงานสร้างความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน 77 โครงการ 20,989 ล้านบาท และแผนงานกระตุ้นอุปโภคบริโภค และกระตุ้นการท่องเที่ยว 7 โครงการ 22,422 ล้านบาท

ส่วนโครงการที่มีโอกาสได้ใช้เงินกู้ 4 แสนล้านบาท ตามการสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก เพื่อดำเนินการทั่วประเทศ ประกอบด้วย

1.โครงการด้านเกษตรทฤษฎีใหม่ ได้แก่ “โครงการโคก หนอง นา โมเดล” และ”โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่จะลงไปในตำบลต่าง ๆ ครอบคลุมพื้นที่ 240,021 ไร่ คาดว่าสามารถสร้างงานได้ 41,206 ราย มีพื้นที่เก็บน้ำเพิ่ม 867 ลบ.ม. และมีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น 43,799 ไร่

2.โครงการด้านการจ้างงาน คาดจะจ้างงานได้ 70,343 คน แบ่งเป็น จ้างงาน 14,510 คน เข้าไปเก็บข้อมูล 2 คน/ตำบล เป็นฐานข้อมูลชุมชนที่ยังไม่สมบูณณ์ แก้ปัญหาความเลื่อมล้ำผ่านระบบฐานข้อมูลชุมชนเพื่อพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจในชุมชน เช่น โครงการพัฒนาตำบลแบบบูรณาการ , จ้างงาน 15,548 คน ผ่านการโครงการจ้างอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น “ชำนาญการพิเศษ” ดูแลผู้สูงอายุที่มีภารวะพึ่งพิงกว่า 710,518 คน ให้ได้รับการดูแล, จ้างงาน 40,285 คน ผ่านโครงการการพัฒนาป่าไม้ สร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน หรือโครงการเฝ้าระวังสร้างแนวกันไฟสร้างรายได้ในชุมชน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว 170,000 ไร่ เช่น ปัญหาหมอกควันหรือดับไฟป่า

3.โครงการผ่านกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ให้ประชาชนคิดโครงการขึ้นมาเอง “นิวนอร์มอล” และจัดสรรให้กองทุน 79,604 กองทุน ๆ ละ 200,000 บาท ในกรอบ 5 ด้าน ได้แก่ ส่งเสริมท่องเที่ยวชุมชน สร้างมูลค่าเพิ่มยกระดับสินค้าบริการ สร้างอาชีพใหม่ในชุมชน ด้านการขนส่งกระจายสินค้า และการตลาด คาดจะมีการจ้างงาน “จนท.กองทุนหมู่บ้าน” 238,812 คน (หมู่บ้านละ 3 คน) เช่น โครงการหมู่บ้านสมุนไพร ก่องส้รางโรงงานแปรรูปยางพารา สร้างรีสอร์ทท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

4.โครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบล 7,255 ตำบล แต่จะเข้าไประยะแรก 3,000 ตำบล ผ่าน “สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในพื้นที่” ร่วมกับราชการหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จ้างงานบัณฑิตจบใหม่ และนักศึกษาในระบบ 60,000 คนเป็นพี่เลี้ยงให้มีงานทำใน 3,000 ตำบล ๆ ละ 20 คน ทำหน้าที่หลักในการช่วยเหลือชุมชนบูรณาการโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ที่เข้ามาในชุมชน ให้ตอบสนองความต้องการของชุมชน อาทิ ส่งเสริม SMEs โอทอป หรือท่องเที่ยวชุมชน

“คาดว่า 25% ของตำบลจะพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน ไม่ต่ำกว่า 50% ของตำบล จะยกระดับความพอเพียง และ 25% จะอยู่รอดจากความยากลำบากและมีมหาวิทยาลัยเป็นพี่เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง”

5.โครงการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มและระบบโลจิสติกส์ ที่ชาวบ้านคิดทั้งแพลตฟอร์มการท่องเที่ยว หรือแพลตฟอร์มด้านสินค้า ส่ของผ่านระดับพื้นที่

ส่วนอีกด้าน สำหรับการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตที่จะทำกันทั้งประเทศ มีแผนการพัฒนาเกษตรสมัยใหม่ แผนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ แผนการพัฒนาการท่องเที่ยว ภายใต้กรอบเงินกู้ 4 แสนล้านบาท เฉพาะ “แผนการพัฒนาเกษตรสมัยใหม่” เช่น โครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตร สมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด โครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ย เพื่อชุมชน (One Stop Service) โครงการผลิตพืชพันธุ์ดีสนับสนุนให้กับ เกษตรกรและแรงงานคืนถิ่น หรือ โครงการสร้างความเข้มแข็งศูนย์ข้าวชุมชน เป็นต้น

“คาดว่า จะมีการนำเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่มาใช้ในแปลงใหญ่ จำนวน 262,500 ราย พื้นที่ 5,003,250 ไร่, ลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี 24.8% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 51.6 ล้านบาท ผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10.37%, สร้างมูลค่าเพิ่มจากแปลงเกษตรสมัยใหม่ ไม่น้อยกว่า 11,000 ล้านบาทต่อปี หรือพื้นที่นาข้าวที่ได้รับเมล็ดพันธุ์ ข้าวคุณภาพดีประมาณ 1,500,000 ไร่”

ส่วนแผนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ คาดว่า เกษตรกร และผู้ประกอบการ ได้รับการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมกว่า 40,000 ราย สามารถเพิ่มยอดขายได้กว่า 10% ลดต้นทุนได้มากกว่า 1.2 แสนล้านบาทต่อปี สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี

แผนการพัฒนาการท่องเที่ยว คาดว่าพื้นที่ท่องเที่ยวได้รับการพัฒนาและเตรียมความ พร้อมสู่การรองรับนักท่องเที่ยว ไม่ต่ำกว่า 7 พื้นที่ ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ได้รับการส่งเสริมและเตรียม ความพร้อมสู่การรองรับนักท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 1,000 ราย แรงงาน ด้านการท่องเที่ยวได้รับการจ้างงานและพัฒนาไม่ต่ำกว่า 10,000 ราย เพื่อมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ คณะกรรมการกลั่นกรองฯ จะพิจารณาโครงการให้แล้วเสร็จในวันที่ 1 ก.ค. โดยอนุกรรมการกลั่นกรองฯ และสำนักงบประมาณ อาจจะตัดลดงบในบางโครงการก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีให้เหลือ 7-8 หมื่นล้านบาท ก่อนส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เพื่อบรรจุวาระเสนอเข้า ครม.ในวันที่ 8 ก.ค.นี้โดยแผนงานที่เกี่ยวเนื่องกับกระทรวง เช่น การจ้างงาน จะเสนอกระทรวงเพื่อรับทราบต่อไป

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 มิ.ย. 63)

Tags: , , ,
Back to Top