สรท.ปรับเป้าส่งออกปีนี้หดตัว -10% จากผลกระทบโควิด-บาทแข็ง

น.ส.กัณญภัค ตัณติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือ สภาผู้ส่งออก ปรับลดคาดการณ์ส่งออกในปีนี้หดตัว -10% จากเดิมหดตัว -8% เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ตลาดส่งออกในหลายประเทศล็อกดาวน์ และปัญหาเงินบาทแข็งค่า หลังจากภาพรวมช่วงเดือนม.ค.- พ.ค. 63 ไทยส่งออกรวมมูลค่า 97,898 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว -3.71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจเป็นอุปสรรคสำคัญ ได้แก่

1) Global economic slowdown การหดตัวของอุปสงค์จากคู่ค้าต่างประเทศและอุปทานการผลิตภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัวส่งผลให้ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบและอาจถึงขั้นต้องปิดกิจการ ทำให้เกิดภาวะหดตัวทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงของการส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มสินค้ายานยนต์

ทั้งนี้ คงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ซึ่งมีโอกาสที่จะกลับมาระบาดรอบ 2 และการประกาศใช้มาตรการ Lockdown ของประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจและการค้าทั่วโลกอีกครั้ง

2) ปัญหา International logistics อาทิ 2.1) อัตราค่าระวางปรับขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะ route อเมริกา จาก 2 สาเหตุ 1. อุปสงค์การส่งออกไปยังเส้นทางทรานส์แปซิฟิกที่เพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้จากปริมาณสินค้าที่เริ่มฟื้นตัวมาเท่ากับช่วงปกติ 2. สายเรือของไทยได้ Space Allocation ลดลง เนื่องจากมีการให้ Space ไปยังประเทศจีนมากกว่า เพราะสามารถทำราคาได้สูงกว่า ทำให้สถานการณ์ขณะนี้ Space เรือที่ส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐอเมริกาค่อนข้างแน่น ต้องจองระวางล่วงหน้า สายเรือจึงมีการปรับเพิ่มขึ้นของค่าระวาง และมีการเรียกเก็บค่า General Rate Increase (GRI) เพิ่มขึ้น

2.2) การจัดการโลจิสติกส์ในประเทศปลายทางยังคงมีอุปสรรค จากมาตรการ lockdown แต่ละประเทศทำให้เกิดส่งผลต่อค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ทำให้ผู้นำเข้าชะลอคำสั่งซื้อ

3) ความเสี่ยงการได้รับชำระเงินค่าสินค้าระหว่างประเทศ (default risk) ของผู้ประกอบการส่งออก จากการชำระเงินล่าช้าหรือไม่ชำระเงินของคู่ค้า เนื่องด้วยผลกระทบของการระบาดโควิด-19 บางประเทศมีการออกกฎเพื่อช่วยผู้ประกอบการในประเทศตน ส่งผลกระทบซ้ำเติมต่อการดำเนินธุรกิจ ผู้ประกอบการส่งออกนำเข้าของไทย ขาดสภาพคล่อง

4) ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง จากการไหลเข้าของเงินทุนสุทธิในตลาดพันธบัตรและตลาดทุน ประกอบกับการอ่อนค่าลงของค่าเงินดอลลาร์จากแนวโน้มการหดตัวทางเศรษฐกิจถึง -6.5% และการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ส่งผลให้เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 4 เดือน ที่ระดับ 30.97 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และมีผลต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้า โดยเฉพาะในสถานการณ์ซึ่งผู้บริโภคทั่วโลกระมัดระวังการใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น

5) ค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันในตลาดโลกต่ำกว่าปี 2562 จากการชะลอตัวของอุปสงค์การใช้น้ำมันทั่วโลกซึ่งเป็นผลกระทบต่อเนื่องจากโควิด-19 แม้ว่าจะมีการลดกำลังการผลิตน้ำมันที่ 9.7 ล้านบาร์เรล/วัน จนถึงเดือนกรกฎาคมของกลุ่ม OPEC และพันธมิตร รวมถึงการผ่อนปรนมาตรการปิดเมืองของหลายประเทศ ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งและเดินทางปรับตัวสูงขึ้น

6) ปัญหาภัยแล้งภายในประเทศที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากปริมาณน้ำที่ใช้ได้จริงจากเขื่อนใหญ่ภายในประเทศที่มีค่อนข้างน้อยในปัจจุบัน ส่งผลกระทบอย่างมากต่อปริมาณอุปทานในสินค้าเกษตรที่ออกสู่ตลาดน้อยลง และคุณภาพของสินค้าลดลงเนื่องด้วยความเสียหายจากภัยแล้ง

น.ส.กัณญภัค กล่าวว่า วันนี้ สรท.จะทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้เข้ามาดูแลและแก้ไขปัญหาเรื่องเงินบาทแข็งค่าเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบรุนแรง โดยเสนออัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 34.00 บาท/ดอลลาร์ ถึงแม้ขณะนี้เงินบาทจะอยู่ที่ 31.12 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากปีก่อนก็ตาม เนื่องจากที่ผ่านมาเงินบาทปรับตัวแข็งค่าอย่างรวดเร็วกว่าประเทศเพื่อนบ้านจนส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง โดยเมื่อปี 58 เงินบาทอยู่ที่ 34 บาท/ดอลลาร์, ปี 59 อยู่ที่ 35 บาท/ดอลลาร์, ปี 60 อยู่ที่ 34 บาท/ดอลลาร์ และปี 61 อยู่ที่ 33 บาท/ดอลลาร์

ทั้งนี้ จากรายงานผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน (IMD World Competitiveness Index) ประจำปี 2563 พบว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 29 จาก 63 ประเทศ ซึ่งลดลงจากอันดับที่ 25 ในปีก่อน สะท้อนว่าประเทศไทยยังมีจุดอ่อนหลายด้าน เช่น ด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจที่ลดลงจากอันดับ 30 มาอยู่ที่ 38, ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐที่ลดลงจากอันดับ 20 มาอยู่ที่ 23

ดังนั้น สรท.ได้จัดทำข้อเสนอแนะต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับประเทศไทย ดังนี้

1.ด้าน Economic Performance – 1.1) Domestic Economy สนับสนุนยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรและการจัดการโลจิสติกส์ 1.2) International Trade ผลักดันข้อตกลง WTO’s Trade Facilitation Agreement (TFA) และการเจรจา FTA ส่งเสริมการค้า Trade to Localization มุ่งเน้นไปที่ประเทศเพื่อนบ้านใน ASEAN และ CLMV เร่งรัดการรับรองป่าไม้เศรษฐกิจตามมาตรฐาน FSC (Forest Stewardship Council) และผ่อนคลายกฎระเบียบให้ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าให้สามารถจ่ายค่าภาระที่เกี่ยวเนื่องกับ supply chain ระหว่างประเทศเป็นสกุลต่างประเทศ 1.3) Inernational Investment ลดข้อจำกัดด้านพิธีการศุลกากร และอำนวยความสะดวกในการนำเข้าวัตถุดิบสำหรับผลิตสินค้า และ ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีที่นำกลับมาจากต่างประเทศ 1.4) Employment ดำเนินมาตรการช่วยเหลือด้านประกันสังคมทั้งนายจ้างและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบ และ 1.5) Price ลดและยกเว้นอากรขาเข้าเพื่อส่งเสริมการนำเข้าวัตถุดิบสำหรับการผลิต และลดภาระค่าขนส่งโลจิสติกส์ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ

2.Goverment Efficiency – 2.1) Public Finance พิจารณาการลงทุนเฉพาะโครงการที่มีผลตอบแทนคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ 2.2) Tax Policy กำหนดนโยบายการเก็บภาษีตามขั้นบันไดสำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็ก 2.3) Institutional Framework รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทให้อยู่ที่ 34.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และควบคุมส่วนต่างของอัตราเงินฝากและเงินกู้ให้อยู่ระดับที่เหมาะสม 2.4) Business Legislation เร่งรัดการแก้ไขกฎหมายภายในประเทศให้ทันสมัยและรองรับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และการค้าระหว่างประเทศ และพิจารณาการเปิดเสรีการขนส่งและโลจิสติกส์ และบังคับใช้ พรบ. แข่งขันทางการค้า เพื่อป้องกันการเอาเปรียบจากผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศต่อผู้นำเข้า – ส่งออก และ 2.5) Societal Framework ลดความเหลื่อมล้ำของรายได้ โดยให้ความสำคัญของภาคเกษตรและธุรกิจชุมชนมากยิ่งขึ้น

3.Business Efficiency – 3.1) Productivity & Efficiency สนับสนุนพัฒนาเชิงพื้นที่ในลักษณะของ Cluster พัฒนาระบบ Automation เพื่อช่วยส่งเสริมและสนับสนุนประสิทธิภาพการทำงาน และพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศของไทย (National Digital Trade Platform: NDTP) 3.2) Labor Market สนับสนุนด้านภาษีและงบประมาณฝึกอบรมให้กับแรงงาน และลดต้นทุนการจ้างแรงงานต่างด้าวตามกฎหมาย 3.3) Finance สนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อ SMEs โดยมีการค้ำประกัน บสย. และการผ่อนปรนเงื่อนไขของธนาคารพาณิชย์ ปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นเงื่อนไขตามรายสัญญา มาตรการกองทุนเพื่อช่วยเหลือและส่งเสริมภาคการผลิตและการส่งออก (Recovery Fund for Exporter) และ เพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบ E-payment และลดเงื่อนไขหรือกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการนำระบบมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ 3.4) Management Practices ส่งเสริมการพยากรณ์ความต้องการระวางขนส่งสินค้าล่วงหน้า เพื่อรองรับสถานการณ์ขาดแคลนระวาง และ 3.5) Attitudes & Values ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจธรรมาภิบาลในองค์กร (Good Governance)

4.Infrastructure – 4.1) Basic Infrastructure ปรับปรุงระบบ National Single Window (NSW) และพัฒนา Port Community System (PCS) ให้เป็นแบบ Single Submission และพัฒนา User Interface ให้มีความเป็นมิตรต่อผู้ใช้และมีขั้นตอนที่ชัดเจน 4.2) Technological Infrastructure ผลักดันการพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการค้าในอนุภูมิภาคและภูมิภาค โดยเชื่อมโยงการประกอบธุรกรรมทางการค้ารูปแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) 4.3) Scientific Infrastructure ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร และสนับสนุนงบประมาณ Research & Development สำหรับ S-Curve และ อุตสาหกรรมเกษตร 4.4) Health & Environmental ส่งเสริมการคำนวณ Carbon Footprint ของภาคอุตสาหกรรม เกษตร และโลจิสติกส์ และ 4.5) Education ยกระดับหลักสูตรการพัฒนาบุคคลากรด้านเทคโนโลยีให้มากขึ้น เป็นต้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ก.ค. 63)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top