NOBLE ลุยเพิ่มแนวราบ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 25% ในปี 64

พร้อมรุกขยายคอนโดฯระดับกลาง

นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) เปิดเผยว่า การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในปี 64 บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนโครงการแนวราบเข้ามาเสริมเพื่อกระจายพอร์ตโครงการที่อยู่อาศัยให้มีความหลากหลายขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการแนวราบในปี 64 เป็น 25% จากปัจจุบันมีโครงการแนวราบที่อยู่ระหว่างการขายเพียง 1 โครงการ คือ Noble Gable วัชรพล มูลค่า 500-600 ล้านบาท

ซึ่งในครึ่งปีแรกของปี 63 ที่ผ่านมาบริษัทได้ซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาโครงการแนวราบเข้ามาแล้ว 3-4 แปลง และมีที่ดินส่วนหนึ่งจะนำมาพัฒนาเป็นโครงการแนวราบในปีหน้า

การลงทุนพัฒนาโครงการแนวราบในปี 64 จะมีทั้งโครงการที่บริษัทพัฒนาเองจากที่ดินที่บริษัทได้ซื้อเข้ามาเพิ่ม และมีบางโครงการจะเป็นที่ดินที่ร่วมลงทุนกับพันธมิตร ซึ่งอาจจะเป็นที่ดินของพันธมิตรที่สนใจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรที่สนใจร่วมลงทุน โดยรูปแบบการพัฒนาโครงการแนวราบจะเป็นทั้งการพัฒนาโครงการแนวราบอย่างเดียว และมีบางโครงการจะอยู่ในพื้นที่เดียวกับคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น

ขณะเดียวกันการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในปี 64 ยังคงมีต่อเนื่อง โดยจะหันมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทมากขึ้นภายใต้แบรนด์ NUE เพราะบริษัทเห็นถึงความต้องการของตลาดของผู้ซื้อที่มองหาคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัย หรือลงทุนในระดับราคาที่ไม่สูงมากเกินไป และใกล้รถไฟฟ้า

ที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดขายแบรนด์ NUE ไปแล้วจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ NUE Noble งามวงศ์วาน มูลค่า 1.8 พันล้านบาท ปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้แล้ว 1 พันล้านบาท และโครงการ Nue Noble รัชดา-ลาดพร้าว มูลค่า 2 พันล้านบาท ทำยอดขายได้แล้ว 480 ล้านบาท ถือว่าลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ในปี 64 บริษัทจะผลักดันแบรนด์ NUE ต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีสัดส่วนการพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็น 50% ในปี 64

นายธงชัย กล่าวว่า แผนการเติบโตของบริษัทยังคงเน้นไปที่การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรขยายตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และการกระจายพอร์ตโครงการให้หลากหลายขึ้น รวมถึงการร่วมลงทุนกับพันธมิตรในการต่อยอด และเพิ่มศักยภาพการพัฒนาโครงการ

ปัจจุบันบริษัทได้มีการร่วมลงทุนกับพันธมิตร 2 รายหลัก คือ ฮ่องกงแลนด์ ที่จะพัฒนาโครงการใหม่ร่วมกันบนถนนวิทยุ มูลค่า 1.07 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 4/63 หรือต้นปี 64 และบมจ.ยู ซิตี้ (U) บริษัทในกลุ่มบีทีเอส (BTS) ที่ร่วมลงทุนโครงการแรกไปแล้ว คือ โครงการ Nue Noble รัชดา-ลาดพร้าว โดยบริษัทจะยังคงมีความร่วมมือกับ BTS อย่างต่อเนื่อง และอาจจะมีที่ดินบางทำเลของกลุ่ม BTS ที่จะร่วมกันพัฒนาโครงการใหม่ในปีหน้า

นอกจากนี้ ในภาพรวมของหุ้น NOBLE บริษัทคาดหวังให้เป็นหุ้นปันผล (Dividend Stocks) ในช่วงแรกที่ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจ จะเห็นได้จากที่บริษัทถือเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงถึง 70%

โดยล่าสุดได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 1.10 บาท/หุ้น สะท้อนภาพของผลการดำเนินงานที่พลิกฟื้นกลับมา แม้ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัวลงก็ตาม เพื่อทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจในการลงทุนกับบริษัท และมีรายได้ที่แน่นอนเฉลี่ย 1.1-1.4 หมื่นล้านบาท/ปี ในช่วงปี 63-65 และระยะยาวจะก้าวสู่การเป็นหุ้นที่เติบโตอย่างยั่งยืน (Growth Stocks) จากการเดินหน้าสร้างการเติบโตให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับสร้างความน่าสนใจเพื่อทำให้นักลงทุนสถาบันสนใจลงทุนใน NOBLE เพิ่มขึ้น

สำหรับกระแสข่าวที่ระบุว่าบริษัทจะเข้าซื้อบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น นายธงชัย ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่มีแผนการซื้อกิจการจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใด แต่ยังคงเน้นไปที่การลงทุนขยายธุรกิจเอง และการร่วมทุนกับพันธมิตรเท่านั้น

ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าตลาดจะค่อนๆฟื้นขึ้นกลับมา แต่ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมาอย่างชัดเจน เพราะภาวะเศรษฐกิจยังไม่กลับมาดีขึ้นอย่างชัดเจน และกำลังซื้อยังคงชะลอตัว ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ยังมองว่าก็ยังสามารถขายได้ต่อเนื่อง แต่ยอดขายอาจไม่ได้หวือหวามากเหมือนกับในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา

ในขณะที่การแข่งขันของผู้ประกอบการยังเห็นการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะการระบายสต๊อกของผู้ประกอบการที่ยังคงเห็นการทำโปรโมชั่นกระตุ้นการขายออกมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู่ประกอบการที่ต้องการกระแสเงินสดเข้ามาเพิ่มสภาพคล่อง แต่การเปิดโครงการใหม่จะยังไม่กลับมาคึกคัก จากสภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19

นายอรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการเงิน NOBLE กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอนวงเงิน 1 พันล้านบาทในเดือน พ.ย.63 หรืออาจจะชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนดังกล่าว โดยที่บริษัทมีแหล่งเงินทุนรองรับจากเงินกู้ยืมสถาบันการเงินที่ให้วงเงินกู้ที่เบิกใช้ได้ 5 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการดูภาวะของตลาดตราสารหนี้ว่าจะมีแนวโน้มอย่างไร หากมีแนวโน้มที่ดีก็คงสามารถออกหุ้นกู้ใหม่มาทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมได้

ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทมีแนวโน้มลดลงจากภาวะอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ต้นทุนอัตราดอกเบี้ยสิ้นปีนี้จะลดลงเหลือ 4% จากปีก่อนอยู่ที่ 5% ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของบริษัทลดลง และทำให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทอยู่ในระดับสูงถึง 17% ใกล้เคียงกับผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นบริษัทจะรักษาให้ไม่ต่ำกว่า 34% จากการบริหารต้นทุนต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้านรายได้ในปี 63 ยังมั่นใจทำได้ตามเป้า 1 หมื่นล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกทำรายได้ไปแล้ว 4.5 พันล้านบาท และในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาอีก 4-5 พันล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมด 1.65 หมื่นล้านบาท ทำให้มั่นใจว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมาย และยังรุกทำโปรโมชั่นราคาพิเศษในโครงการที่เป็นสต๊อกของบริษัทเพื่อสร้างรายได้กลับมาจากสต๊อกสินค้าพร้อมโอนที่มีอยู่กว่า 1.3 หมื่นล้านบาท

ส่วนยอดขายของบริษัทปัจจุบันทำได้แล้ว 4 พันล้านบาท จึงมีโอกาสทำได้ไม่ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากยังมีควาไม่แน่นอนว่าจะเปิดขายโครงการใหม่ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ มูลค่า 1.07 หมื่นล้านบาท ได้ทันในปลายปี 63 หรือไม่ เพราะอยู่ระหว่างการออกแบบ และยื่นขอ EIA โดยที่โครงการดังกล่าวจะตั้งราคาขายที่ 300,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสมกับทำเลถนนวิทยุ

ซึ่งหากไปเปิดขายในช่วงต้นปี 64 จะกระทบต่อยอดขายในช่วงปลายปีนี้ และอีก 1 โครงการที่บริษัทพัฒนาเองบนทำเลทองหล่อ มูลค่า 5.2 พันล้านบาท ยังอยู่ระหว่างรอดูสถานการณ์ว่าจะเปิดในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ทำให้ยอดขายในช่วงไตรมาส 4/63 ยังมีความไม่แน่นอนจากการเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ส.ค. 63)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top