ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดมาตรการ “คนละครึ่ง” หนุนค้าปลีก Q4/63 หดตัวน้อยลง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า มาตรการ”คนละครึ่ง”’ ที่จะเริ่มในเดือนต.ค.-ธ.ค. 2563 จะช่วยหนุนค้าปลีกในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2563 ให้หดตัวลดลงเล็กน้อยเป็น 7.2% จากเดิมที่คาดว่าจะหดตัวถึง 8.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ดังกล่าวจะกระจายไปยังร้านค้าปลีกที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional trade) เช่น ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก โชห่วย ร้านธงฟ้า

ซึ่งร้านค้าเหล่านี้นอกจากการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้ว อาจจะต้องเตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องของสต็อกสินค้า ความสดใหม่และคุณภาพของสินค้า รวมถึงอาจจะอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวจัดทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดการใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งนี้ แรงส่งจากมาตรการฯ ดังกล่าว น่าจะทำให้ภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกทั้งปี 2563 หดตัวประมาณ 6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

อนึ่ง ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (29 ก.ย.) เห็นชอบให้มีการใช้มาตรการ “คนละครึ่ง” ที่จะเริ่มในเดือนต.ค. – ธ.ค.63 ซึ่งนอกจากจะกำหนดวงเงินคนละไม่เกิน 3,000 บาท (รัฐจะจ่ายให้ 50% ของยอดใช้จ่าย ซึ่งไม่เกิน 3,000 บาท) เป็นจำนวน 10 ล้านคนแล้วนั้น ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่แตกต่างไปจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ออกมาก่อนหน้า เช่น ชิมช้อปใช้ คือ มีการจำกัดวงเงินการใช้จ่ายต่อวัน ไม่เกินวันละ 150 บาท ส่งผลให้สินค้าที่เข้าข่ายหรือตอบโจทย์วงเงินดังกล่าวมีมูลค่าที่ไม่สูงนัก และเน้นไปที่สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ โดยเฉพาะของใช้ส่วนบุคคล อาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ (ไม่รวมล็อตเตอรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยาสูบ และการบริการ)

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า โอกาสในการเพิ่มยอดขายจากมาตรการฯ ดังกล่าว จะมากน้อยแค่ไหนยังต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นจำนวนร้านค้าปลีกที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ และกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงเวลาเปิด-ปิดของร้านค้าปลีก ที่สามารถอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง ทั้งนี้ จากการสำรวจการใช้จ่ายจากมาตรการ “คนละครึ่ง” ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย (ในช่วงวันที่ 11-18 ก.ย.63) พบว่า ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่น่าสนใจ ดังนี้

โดย 64% ของผู้ตอบแบบสำรวจ วางแผนที่จะใช้จ่ายเต็มวงเงิน (3,000 บาท) และที่เหลืออีก 36% วางแผนที่จะใช้จ่ายบางส่วนหรือไม่ถึง 3,000 บาท โดยสินค้าที่ซื้อส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าจำเป็นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ของใช้ส่วนบุคคล (แชมพู สบู่ ยาสีฟัน) อาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์

การใช้จ่ายของผู้บริโภคทั้ง 2 กลุ่ม พบว่าส่วนใหญ่ 56% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ยังคงใช้จ่ายใกล้เคียงหรือไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีมาตรการฯ เนื่องจากมีแผนที่จะใช้จ่ายอยู่แล้วในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ผลจากมาตรการฯ ถือเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภคได้ เนื่องจากรัฐช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง จากเดิมที่ผู้บริโภคจะต้องจ่ายเอง 100% ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีเงินเหลือไปใช้ในการทำกิจกรรมอย่างอื่น หรือเก็บออมไว้ใช้จ่ายยามจำเป็นได้ ขณะที่ผู้บริโภคอีก 44% ของผู้ตอบแบบสำรวจ มองว่า วางแผนจะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ไม่มีมาตรการฯ โดยอาจวางแผนเลื่อนวันในการซื้อสินค้าให้ตรงกับช่วงที่ออกมาตรการฯ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ย. 63)

Tags: , ,
Back to Top