เดอะคลีนิกค์ เตรียมแผนเข้าตลาดหุ้นปี 65 ระดมทุนรุกธุรกิจการแพทย์และสุขภาพ

นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เดอะคลีนิกค์ฯ

นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมสายงานวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST เปิดเผยว่า บมจ. เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม ได้แต่งตั้งให้ KTBST เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ราวปี 65 โดยขณะนี้อยู่ในกระบวนการเตรียมความพร้อม โดย “เดอะคลีนิกค์” เปิดดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลานานกว่า 11 ปี ได้รับการตอบรับจากลูกค้าผู้เข้ามาใช้บริการอย่างดีเยี่ยม เห็นได้จากยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเติบโตปีละ 2 หลักมาตลอดต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังการันตีด้วยการได้รับรางวัลด้านการยกกระชับใบหน้าที่หย่อนคล้อยด้วยเครื่องโฟกัสอัลตร้าซาวด์มากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก เพื่อเพิ่มศักยภาพ และโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัทฯ

นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เดอะคลีนิกค์ฯ กล่าวว่า เดอะคลีนิกค์ฯ เป็นผู้นำการให้บริการด้านผิวพรรณ ศัลยกรรมความงามและการดูสุขภาพแบบองค์รวมที่ทันสมัยตามหลักการแพทย์ ได้แก่ การให้บริการด้านการรักษาโรคผิวหนัง ผิวพรรณความงาม ลดน้ำหนักดูแลรูปร่าง ศัลยกรรม Woman Wellness และการฟื้นฟูสุขภาพ

ปัจจุบัน เดอะคลีนิกค์ มีทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท และมีคลินิกจำนวน 29 สาขา และมีแผนจะขยายสาขาอีกอย่างน้อย 3-5 สาขาในปี 64 ด้วยงบลงทุนกว่า 50-100 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์เวชสำอางชั้นสูงซึ่งคิดค้นโดยทีมแพทย์ เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์เฉพาะทาง Special Care ที่มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ

“สำหรับวัตถุประสงค์ในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในครั้งนี้ ทางบริษัทฯมีแผนนำเงินที่ได้ไปใช้ในขยายสาขาเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศและขยายไปยังประเทศกลุ่ม CLMV รวมถึงขยายไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งถือเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้ “นายแพทย์อภิรุจ กล่าว

นายประทีป วาณิชย์ก่อกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน เดอะคลีนิกค์ฯ กล่าวว่า กลุ่มลูกค้าของบริษัทฯส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มระดับกลาง B+ ขึ้นไป ซึ่งมีกำลังซื้อสูง โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนมากกว่า 9,000 บาทและยังมีโอกาสเติบโตได้เป็นอย่างมาก การเติบโตของธุรกิจเพื่อสุขภาพและความงาม ถ้าวัดจากตลาดระดับโลกมีมูลค่ามากกว่า 900,000 ล้านบาท ตลาดอาเซียนมีมูลค่ามากถึง 500,000 ล้านบาท และในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 250,000 ล้านบาท

ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 61 มีรายได้รวม 811 ล้านบาท และปี 62 อยู่ที่ 990 ล้านบาท สำหรับปี 63 ตั้งเป้ารายได้รวมจะพุ่งแตะระดับ 1,000 ล้านบาท แม้ในช่วงที่ผ่านมาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องปิดสาขาชั่วคราวเป็นเวลาประมาณ 2-3 เดือน ตามนโยบายของทางรัฐบาล แต่หลังจากกลับมาเปิดให้บริการตามปกติ ก็พบว่ามีลูกค้ากลับเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการเติบโตทั้งในด้านยอดขายในสาขาเดิมและสาขาใหม่ รวมถึงขยายขอบเขตในการให้บริการและ/หรือ ผลิตภัณฑ์ด้านการให้บริการที่ครอบคลุมมากขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ต.ค. 63)

Tags: , , ,
Back to Top