‘สมคิด’ ชงระดมทุนผ่าน ‘ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์-พันธบัตร’ แทนงบล่าช้า

“สมคิด” เล็งเร่ง TFFIF 2 หรือ ออกพันธบัตรหวังใช้ลงทุนโครงการใหญ่ หลังการใช้จ่ายงบปี 63 อาจล่าช้าไปหลังพ.ค.

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้หารือกับกระทรวงการคลังถึงแนวทางบริหารจัดการกรณี พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 มีความล่าช้าออกไป ซึ่งอาจจะต้องเริ่มใช้จ่ายหลังจากเดือน พ.ค.63

ดังนั้นจึงเสนอให้เร่งดำเนินการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ : TFFIF) เฟส 2 ให้เร็วขึ้น หรือออกพันธบัตร เพื่อใช้ลงทุนในโครงการขนาดใหญ่แทน

“อินฟราฟันด์ทำได้ ตรงนี้จะมีอิทธิฤทธิ์แรงเลยทีเดียว ทำไมต้องอาศัยงบประมาณเพียงอย่างเดียว ประชาชนฝากดอกเบี้ยได้แค่เปอร์เซ็นต์เดียวเศษๆ เราออกบอนด์มาให้สัก 3% มีหรือจะไม่ซื้อ นี้คือสิ่งที่รมว.คลัง แบงก์ชาติ สำนักงบประมาณเขาหารือกัน…รมว.คลัง บอกว่าในระหว่างนี้ ถ้าหากจำเป็นต้องกู้ก็กู้มาเพื่อลงทุน หรือไม่ก็ออกอินฟราฟันด์ไปเลย คลังเขาเตรียมแล้ว เขาเคยมีประสบการณ์ในสมัยวายุภักษ์ใช่หรือไม่” นายสมคิด กล่าวปาฐกถาพิเศษงาน “Post Today Economic Forum 2020 : ถอดรหัสเศรษฐกิจปี 2020”

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี (ภาพ: thaigov.go.th)

พร้อมระบุว่า จากวันนี้จนถึงครึ่งปีจะไม่สามารถใช้งบประมาณได้เต็มที่ ดังนั้นจึงควรจะช่วยกันประคอง ไม่ใช่มาชี้ว่าใครผิดใครถูก ซึ่งประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร

นายสมคิด ระบุว่า ตั้งแต่มีการประกาศมีการเลือกตั้งจนถึงขณะนี้ เป็นเวลาเกือบ 1 ปีเต็ม ที่ต้องเผชิญมรสุมในหลายเรื่อง ซึ่ง 1 ในเรื่องที่สำคัญ คือ เรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่า แม้วันนี้สถานการณ์ค่าเงินบาทกลับมาอยู่ในจุดที่เอกชนเลิกโวยวาย และอย่าหวังเพียงแต่เห็นค่าเงินบาทอ่อน แต่เอกชนต้องตื่นตัว ต้องมีการพัฒนานวัตกรรม ต้องลงทุนในการปรับปรุงเครื่องจักรใหม่ ซึ่งกระทรวงการคลังก็ออกแพคเก็จใหม่ หักภาษีได้ 2.5 เท่า ต้องช่วยกันลงทุนในประเทศในภาวะที่ประเทศยังประสบปัญหา

ส่วนมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 1% นั้น ต้องทำให้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงมาด้วย เพื่อให้คนกล้าเข้าไปลงทุน

นอกจากนี้ ปัญหาสงครามการค้ายังส่งผลต่อการส่งออกของไทย เพราะ 70% ของไทยยังต้องพึ่งพาการส่งออก ซึ่งรัฐบาลก็พยายามจะปฏิรูปเศรษฐกิจโดยเน้นการเติบโตเศรษฐกิจภายในประเทศด้วย โดยได้เสนอแนวคิดในการดึง Theme Park มาลงทุนในพื้นที่ EEC เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยได้มอบหมายให้คณะทำงานไปพิจารณาในรายละเอียด เช่น สามารถดึง Universal มาอยู่ตรงนี้ได้ และในอนาคตเมื่อรถไฟเชื่อม 3 สนามบินเสร็จ สามารถดึงคนกรุงเทพมาเที่ยวได้ เป็นต้น

รวมถึงต้องมีพัฒนาดิจทัล และ 5G เพราะ 5G เป็นตัวช่วยให้อุตสาหกรรมใน EEC ขับเคลื่อนได้ ซึ่งจะมีการตั้งแต่คณะกรรมการเร่งรัดการขับเคลื่อน 5G และ 4G เพื่อให้ขยายไปพัฒนาในด้านการเกษตร ทางการแพทย์ และ SME ด้วย

ปัญหาสำคัญอีกเรื่องคือ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งมาโดยไม่ได้นัดหมาย แต่ขอให้ทุกคนอย่าตกใจ ขอให้เชื่อมั่นในการทำงานของกระทรวงสาธารสุข ที่มีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหา ทั้งโรคไข้หวัดนก ซาร์ส ซึ่งทุกคนไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป

“เราผ่านมาแล้วต้มยำกุ้ง มาถึงซาร์ส ไข้หวัดนก ผ่านมาหมดแล้ว ยุคนั้นรุนแรงกว่าตอนนี้อีก ตอนนั้นเราไม่มี panic เพราะไม่มีโซเชียลมีเดียให้เราใส่ไข่เป็นว่าเล่น” นายสมคิด กล่าว

ทั้งนี้ นายสมคิดยอมรับว่า จากปัญหาไวรัสโคโรนาระบาดได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว จึงเห็นว่าควรต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองไทยกันเอง ผ่านโครงการ”ชิม ช้อป ใช้ 4″ ซึ่งอยู่ระหว่างการนำเสนอนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะช่วยชดเชยการหายไปของนักท่องเที่ยวต่างชาติได้

“เราถ้าได้มาถึง 2% แบบนี้ นี้คือการเติบโต ไม่ใช่หดตัว เข้าใจไว้ก่อน ไม่ต้อง panic ไม่ต้องตกใจกลัว สติต้องมี นี่คือพายุลูกใหญ่ แต่ผมเชื่อว่า มันจะค่อยดีๆ ขึ้น” รองนายกรัฐมนตรีระบุ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ก.พ. 63)

Tags: , , , , ,
Back to Top