DHOUSE ดันรายได้แตะพันล้านบาท ใน 5 ปี ลุยพัฒนาอสังหาฯภาคอีสาน

นายพงศ์พจน์ เลิศรุ้งพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดีเฮ้าส์พัฒนา (DHOUSE) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์จะเติบโตแตะ 1,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี (64-68) ด้วยการเดินหน้าแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัย์ในภาคอีสานอย่างต่อเนื่องภายหลังจากการระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในครุ้งนี้

ปัจจุบัน DHOUSE มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาเพื่อขาย 4 โครงการ มูลค่ารวม 1,063 ล้านบาท และโครงการในอนาคตที่พร้อมเปิดขายอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ U Park และโครงการแกรนด์ บิซ 2 มูลค่ารวม 735 ล้านบาท

ในอนาคตบริษัทยังมีแผนขยายการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ เช่น นครราชสีมา, อุดรธานี, อุบลราชธานี เป็นต้น จากปัจจุบันได้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขายหลากหลายรูปแบบ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และอาคารพาณิชย์ ในเขตพื้นที่ จ.มหาสารคาม เป็นหลัก ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ตามเป้าหมายได้ภายใน 5 ปี

สำหรับทิศทางผลประกอบการในปีนี้ บริษัทยังคงเป้ารายได้ใกล้เคียงกับปีก่อน 141.82 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 63 มีรายได้รวมแล้ว 46.78 ล้านบาท และจะยังรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 53-55%, อัตรากำไรสุทธิ 22-28%

แต่อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ทำให้ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และถือว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกในอนาคต

ณ สิ้นไตรมาส 2/63 บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวม 26.74 ล้านบาท คาดจะทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3/63 และไตรมาส 4/63 อีกทั้งยังมีสินค้าพร้อมขาย (บ้านที่ก่อสร้างงานโครงสร้างแล้วเสร็จ คงเหลืองานตกแต่งภายใน สามารถที่จะโอนได้ในระยะเวลา 1 -2 เดือน หลังการจอง) มูลค่ารวม 113.60 ล้านบาท และสินค้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 442.56 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดินรองรับการพัฒนาในจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 4 แปลง รวมพื้นที่ 97 ไร่ 32.10 ตารางวา มีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 528.89 ล้านบาท และมีมูลค่าตามราคาประเมินอยู่ที่ 755.27 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับการพัฒนาโครงการได้อีก 2-3 โครงการ

นายพงศ์พจน์ กล่าวว่า นอกจากนี้การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แล้ว บริษัทจะนำเงินที่ได้ไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน จำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อทุน (D/E) ลดลงจาก 0.98 เท่า ในไตรมาส 2/63 มาอยู่ที่ระดับ 0.71 เท่า ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ 35 ล้านบาทเพื่อเพิ่มศักยภาพ ก้าวสู่ความเป็นผู้นำการพัฒนาอสังหริมทรัพย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

และหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์บริษัทเชื่อว่าจะได้รับความน่าเชื่อถือจากลูกค้า คู่ค้า และสถาบันการเงินมากยิ่งขึ้น สร้างความมั่นคงและความยั่งยืนให้กับองค์กรในระยะยาว โดยบริษัทฯ มีนโยบายจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังจากหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามกฎหมาย ซึ่งบริษัทมีแผนจะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณาการจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการงวดปี 63

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ต.ค. 63)

Tags: , , ,
Back to Top