บล.ทิสโก้ แนะซื้อหุ้นไทยที่ 1,150-1,200 จุด ราคาถูก-รับแรงซื้อหุ้นปันผล

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า บล.ทิสโก้ยังคงกลยุทธ์ทยอยสะสมหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยลุ้นให้ดัชนีในเดือน พ.ย.เป็นจุดต่ำสุด และที่ระดับ 1,150-1,200 จุด นับเป็นจังหวะซื้อเพิ่มโค้งสุดท้ายของปีนี้ และแนะถือลงทุนข้ามปี หลังราคาหุ้นไทยนับว่าถูกใกล้เคียงภูมิภาคแล้ว เมื่อเทียบกับอดีตที่เทรดพรีเมี่ยม ขณะที่คาดเห็นเม็ดเงินโยกจากตลาดเงินเพื่อหนีดอกเบี้ยต่ำ และเริ่มเห็นแรงซื้อหุ้นปันผลเข้ามาซึ่งจะผลักดันการเคลื่อนไหวของดัชนี

สำหรับประเด็นการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้น มีแนวโน้มยืดเยื้อ เพราะข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมตอบสนองได้ยาก และปัจจุบันยังไม่มีจุดร่วมกันของแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งหลังจากนี้ยังคงต้องรอติดตามการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญในต้นเดือน พ.ย. นี้ ที่จะมีญัตติการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ฉบับเดิม และบวกอีก 1 ฉบับของกลุ่มโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ด้วยหรือไม่

รวมถึงยังต้องติดตามที่ประชุมสภาฯจะรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระแรกหรือไม่ และจะรับฉบับใด หากเป็นฉบับที่เสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยการมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ก็จะจำเป็นต้องต้องออกเสียงประชามติก่อน แต่ในขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายการออกเสียงประชามติมารองรับ ดังนั้น หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยการให้มี ส.ส.ร. คาดว่าจะต้องใช้เวลาดำเนินการอีกไม่น้อยกว่า 12 เดือนนับจากที่มีการออกเสียงประชามติแล้ว

“แม้มีหลายปัจจัยที่ไม่แน่นอนยังกดดันแนวโน้มตลาดหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์ดาวน์อยู่ แต่มีความเป็นไปได้ว่าประเด็นต่าง ๆ จะคลี่คลาย หรือมีความชัดเจนเกิดขึ้นภายในกลางเดือนนี้ สำหรับสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะในยุโรป คาดว่าจะมีสัญญาณผ่อนคลายในช่วงครึ่งหลังเดือน พ.ย. หลังหลายประเทศในยุโรปเพิ่มมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดฯ ขณะที่ความชัดเจนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ น่าจะช่วยกระตุ้นแรงซื้อคืนกลับสู่ตลาดได้”

นายอภิชาติ กล่าว

นายอภิชาติ กล่าวว่า หากพิจารณาจากดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลง 5 เดือนติดต่อกัน โดยดัชนีปิดที่ต่ำสุดในรอบ 7 เดือนที่บริเวณ 1,200 จุด ทำให้ บล.ทิสโก้มองว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มมีโอกาสปรับตัวลง (Downside Risk) ที่จำกัด เพราะดัชนีหุ้นไทยที่ต่ำกว่าระดับ 1,200 จุดลงมาจะคิดเป็นค่าเฉลี่ยอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Fwd. PER) ของปี 2564 ต่ำกว่า 15 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยในระยะยาว และไม่แพงแล้วเมื่อเทียบกับ Fwd. PER ของดัชนี MSCI Asia ex. Japan Index ปัจจุบันอยู่ที่ 14.5 เท่า

โดยปกติแล้วดัชนีหุ้นไทย จะซื้อขายที่ Fwd. PER สูงกว่า MSCI Asia ex. Japan Index เฉลี่ยเกือบ 2 เท่า จากประเด็นนี้น่าจะดึงดูดให้มีการโยกเงินที่พักอยู่ในเงินฝากธนาคารและตลาดเงิน (Money Market) เป็นจำนวนมากเข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น เพื่อแสวงหาผลตอบแทนภายใต้ภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ผสานกับคาดว่าจะเริ่มมีแรงซื้อทยอยเก็บหุ้นปันผล เนื่องจากอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะเข้าสู่ฤดูกาลจ่ายเงินปันผลประจำปีแล้ว

ด้านธีมการลงทุนในเดือนนี้จะเน้นหุ้นที่คาดงบไตรมาส 3/63 จะออกมาดี แนวโน้มกำไรไตรมาส 4 ยังดีต่อเนื่อง และมีปัจจัยบวกหนุนระยะสั้น หุ้นเด่นในเดือน พ.ย. ที่แนะนำ คือ BAM, MTC, RBF, SAPPE, SYNEX และ TPIPL สำหรับแนวรับสำคัญเดือนนี้อยู่ที่ 1,150-1,170 จุด และแนวต้านสำคัญของดัชนีเดือนนี้อยู่ที่ 1,200-1,205 จุด ต่อไปคือ 1,220-1,225, 1,240-1,250 จุด ตามลำดับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 พ.ย. 63)

Tags: , , , ,
Back to Top