BAM เป้ารายได้-กำไรปี 64 โต 5-10% เล็งหาพันธมิตรหวังต่อยอดธุรกิจใหม่

นายบรรยง วิเศษมงคลชัย ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้และกำไรในปี 64 เติบโต 5-10% จากปี 63 มาจากแนวโน้มยอดขายสินทรัพย์ (NPA) เพิ่มขึ้น และบริษัทเตรียมซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มอีก 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนที่บริษัทวางไว้ หลังจากที่ปี 63 บริษัทซื้อหนี้ไปรวมทั้งสิ้น 1.2 หมื่นล้านบาท

ภาพรวมของตลาดในปัจจุบันมีสินเชื่อที่อยู่ในระบบ 16.5 ล้านล้านบาท โดยเป็นกลุ่มที่พักชำระหนี้ 6.7 ล้านล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีกลุ่มที่พักชำระหนี้ราว 20% หรือคิดเป็นเม็ดเงิน 1.34 ล้านล้านบาทที่ไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ปกติ และเมื่อรวมกับหนี้เสียที่อยู่ในระบบทั้งหมด 5.09 ล้านบาท จะทำให้หนี้เสียในระบบเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 ล้านล้านบาท จึงโอกาสของบริษัทในการเข้าซื้อหนี้มาบริหารได้เพิ่มขึ้น และเป็นปัจจัยหนุนต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 64

ส่วนผลการดำเนินงานในปี 63 ยอมรับว่ารายได้และกำไรจะลดลงจากปีก่อนตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปีนี้ แต่ภาพรวมของไตรมาสสุดท้ายของปี 63 อาจจะได้เห็นการพลิกฟื้นกลับมาจากไตรมาส 3/63 เพราะไตรมาส 4/63 บริษัทสามารถดำเนินงานได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการเก็บเงินจากลูกหนี้ ทำให้มีรายได้เข้ามามากขึ้น และลูกค้ามีการซื้อสินทรัพย์ NPA เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี ซึ่งคาดว่าจะดีต่อเนื่องไปถึงต้นปี 64
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่บริษัทมีผลประโยชน์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีที่ยังไม่ได้รับรู้เป็นสินทรัพย์ในงบการเงิน (DTA) คาดว่าจะมีการบันทึกผลประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวเข้ามาในงบการเงินไตรมาส 4/63 และยอมรับว่าประเด็นดังกล่าวไม่กระทบต่อผลการดำเนินงาน และทำให้บริษัทมีความสามารถในการซื้อหนี้เข้ามาบริหารในปีหน้าได้ตามแผน เพราะอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลง

นายบรรยง กล่าวต่อว่า แผนการดำเนินธุรกิจในช่วง 5 ปี (ปี 64-68) บริษัทวางแผนในการต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบอื่นๆ เพื่อต่อยอดรายได้ให้กับบริษัทในธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ และสร้างรายได้ประจำเข้ามาให้กับบริษัทด้วย ซึ่งจะเป็นลักษณะการร่วมทุนกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนั้น ๆ ที่บริษัทจะต่อยอด เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์มีการแข่งขันที่สูง จากที่มีผู้ประกอบการในตลาดทั้งหมด 66 แห่ง แม้ว่าบริษัทจะมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดที่ 50% แต่มองว่าการแข่งขันที่สูง และความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ทำให้บริษัทต้องมองการต่อยอดธุรกิจเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับบริษัท

พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการมองหาและเจรจากับพันธมิตรกลุ่มโรงพยาบาลเพื่อร่วมทุนทำธุรกิจเกี่ยวกับบ้านผู้สูงอายุ โครงการ The De Val จังหวัดนครนายก โดยบริษัทจะเป็นผู้ลงทุนในส่วนของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเป็นทรัพย์ของบริษัทอยู่แล้ว และพันธมิตรจะนำความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการบริการทางการแพทย์เข้ามาเสริมในการบริหารโครงการ ประกอบกับใช้ฐานลูกค้าจากพันธมิตร ซึ่งบริษัทและพันธมิตรจะแบ่งส่วนแบ่งรายได้และกำไรร่วมกัน

สำหรับโครงการ The De Val บริษัทมองถึงโอกาสในการที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมเดินทางเข้ามาพักผ่อน โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่อยู่ในวันเกษียณที่ส่วนใหญ่ชอบการเดินทางเข้ามาพักอาศัยในประเทศไทยค่อนข้างมาก และการพัฒนาโครงการดังกล่าวจะเป็นการเจาะกลุ่มผู้สูงอายุชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นโอกาสของบริษัทในการสร้างมูลค่าทรัพย์ให้สามารถสร้างรายได้ในระยะยาวให้กับบริษัท

“แผนการขยายต่อยอดธุรกิจของ BAM มองถึงการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ เพราะหาก BAM ยังทำธุรกิจอย่างนี้ไปเรื่อยก็จะตัน และคู่แข่งก็เยอะ ทำให้เราจำเป็นต้องหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆเข้ามาสร้างรายได้ในระยะยาว แต่การลงทุนจะเน้นไปที่การร่วมทุนกับพันธมิตร โดยที่ BAM มีทรัพย์อยู่แล้ว และนำมารีโนเวทให้ ส่วนพันธมิตรจะเข้ามาเสริมในด้าน Know How และนำฐานลูกค้าเข้ามา และรายได้และกำไรก็แบ่งกัน ทำให้ BAM มีช่องทางในการขยายธุรกิจเพิ่มมากขึ้น”

นายบรรยง กล่าว

นอกจากนี้ในอนาคตบริษัทจะยังมองถึงการขยายไปสู่ธุรกิจโบรกเกอร์ขายอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ เพื่อทำให้ธุรกิจของ BAM มีความหลากหลายมากขึ้น และก้าวต่อไปของ BAM จะเปลี่ยนเป็นโฮลดิ้งส์ ซึ่งจะมีหลายธุรกิจที่ BAM เข้าลงทุน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 พ.ย. 63)

Tags: , ,
Back to Top