JAK เตรียมพร้อมเสนอขาย IPO 82.71 ล้านหุ้นคาดเข้าเทรดต้นปี 64

นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ของ บมจ.จักรไพศาล เอสเตท (JAK) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติคำขอของ JAK เพื่อเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 82,709,900 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็น 25.85% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท คาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วงต้นปีหน้า

JAK มีทุนจดทะเบียน ณ วันที่ 30 มิ.ย.63 เท่ากับ 320,000,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท โดยมีทุนเรียกชำระแล้ว 237,290,100 บาท คิดเป็นหุ้นสามัญ 237,290,100 หุ้น และภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนในครั้งนี้ ทำให้บริษัทจะมีทุนชำระแล้วเต็มจำนวน

โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ อันดับ 1 เป็นกลุ่มครอบครัวจักรไพศาล ถือหุ้นรวมกัน 93.47% โดยหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO จะลดสัดส่วนลงเหลือ 69.30%

ด้านนายวีระพันธ์ จักรไพศาล กรรมการผู้จัดการ JAK กล่าวว่า บริษัทประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคตะวันออก โดยมีบริษัทร่วม คือ บริษัท เอ็ม.ที.เอส พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (MTS) ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน โดยถือหุ้น 40% ร่วมกับบริษัท โกลเด้นท์ พาราไดซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ถือหุ้น 59.99% และ นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ถือหุ้น 0.0001%

สำหรับโครงการส่วนใหญ่ของบริษัทมีราคาขาย 1-5 ล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่ กลุ่มลูกค้าวัยเริ่มทำงาน กลุ่มลูกค้าที่ต้องการมีบ้านหลังแรก และกลุ่มลูกค้าท้องถิ่น (Local) บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับคุณภาพของงานก่อสร้างตลอดจนการจัดการระบบสุขาภิบาลอย่างเป็นระเบียบในทุกโครงการโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสุขและความประทับใจให้แก่ลูกค้า จึงทำให้โครงการของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง

“ตลอดเวลาที่ผ่านมาทีมบริหารใส่ใจในการบริหาร การควบคุมต้นทุนด้านต่างๆ รวมทั้งนำเทคโนโลยีมาใช้กับการก่อสร้างโครงการ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของ JAK อยู่ในระดับ 50% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ประมาณ 30-35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในระยะยาวบริษัทฯ ยังคงนโยบายรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้ใกลัเคียงกับอัตรากำไรขั้นต้นในอดีต”

นายวีระพันธ์ กล่าว

บริษัทมีโครงการในอนาคต 3 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,390.76 ล้านบาท ประกอบด้วย

  1. โครงการ FERN เฟสที่ 2 เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น บนทางหลวงสาย 7 (มอเตอร์เวย์) จังหวัดชลบุรี คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างและขายในไตรมาส 4/63 ส่งมอบในไตรมาส 1/64,
  2. โครงการ Canna เป็นอาคารพาณิชย์ ทาวน์เฮาส์และบ้านแฝดชั้นเดียว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี (โรงโป๊ะ) คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างไตรมาส 4/63-ไตรมาส 1/64 เริ่มขายไตรมาส 1/64 ส่งมอบไตรมาส 2/64
  3. โครงการ Peony & Pine รังสิต ซึ่งเป็นโครงการทาวน์โฮมและคอนโดมิเนียม อ.เมือง จ.ปทุมธานี คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างและเริ่มขายในส่วนทาวน์โฮมภายในปี 64

ผลประกอบการของบริษัทในช่วงปี 60-62 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 56.13 ล้านบาท, 208.71 ล้านบาท และ 154.47 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไร (ขาดทุน) สุทธิเท่ากับ (0.21) ล้านบาท, 47.25 ล้านบาท และ 33.83 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนงวด 6 เดือนของปี 63 บริษัทมีรายได้เท่ากับ 34.56 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 7.03 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัท หลังหักเงินสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ธ.ค. 63)

Tags: , , , , , ,
Back to Top