DTC คาด Q4/63 ดีขึ้นจาก Q3/63 ตามอัตราเข้าพัก,เล็งซื้อกิจการโรงแรมเพิ่ม

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี (DTC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลการดำนินงานในไตรมาส 4/63 จะดีกว่าไตรมาส 3/63 เนื่องจากช่วงเดือนต.ค.-พ.ย.63 อัตราการเข้าพัก (Occupancy rate : OCC) ปรับตัวดีขึ้น โดยเดือนต.ค. OCC อยู่ที่ 38% เพิ่มขึ้นจาก 30% ในเดือนก่อนหน้า และเดือนพ.ย.ก็เพิ่มขึ้นมาที่ 41% ขณะที่ในเดือน ธ.ค.เป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว แม้ว่าจะเกิดการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่แต่บริษัทก็เชื่อมั่นว่าจะสามารถผ่านไปได้

ส่วนธุรกิจการศึกษา มั่นใจว่าสามารถทำได้ดีหลังจากปรับตัวได้ค่อนข้างมาก จึงน่าจะเป็นตัวสนับสนุนผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/63 ได้ และธุรกิจอาหารก็เริ่มส่งสัญญาณบวกมากขึ้น จาก Epicure Catering สามารถรับรู้รายได้เต็มจำนวนหลังจากโรงเรียนนานาชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศที่บริษัทเข้าไปรับงานบริการจัดการอาหารกลับมาเปิดดำเนินการ ประกอบกับยังได้สัญญาเพิ่มขึ้นทั้งจากกลุ่มโรงเรียนนานาชาติ และบริษัทอื่นๆ ที่เข้าไปลงทุน

อีกทั้งธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ Kauai (คา-วา-อิ) เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นหลังจากที่เพิ่มจำนวนจุดขาย Grab & Go ในสาขาของ เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ ทำให้ปัจจุบันมีจุดขายทั้งหมด 4 แห่ง คือ ที่เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ วิสซ์ดอม 101 (สาขาแรก) สยามดิสคัฟเวอรี, เอ็มไพร์ทาวเวอร์ และเอ็มควอเทียร์

ด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค จะเป็นโครงการที่จะสร้างการเติบโตของรายได้และผลกำไรให้แก่บริษัทในระยะยาว ปัจจุบันงานตอกเสาเข็มคืบหน้าไปมากแล้ว ผู้รับเหมางานเริ่มทำโครงสร้างใต้ดิน (Sub-structure) และอยู่ระหว่างเปิดประมูลหาผู้รับเหมาหลัก คาดว่าจะสามารถคัดเลือกได้ภายในเดือน ธ.ค.63 ส่วน Residences Pre-sale ปัจจุบัน DTC ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ จากสถานการณ์ที่ยังไม่เอื้อ แต่อย่างไรก็ตามก็มีการทำ Pre-sale กับผู้ที่สนใจไปบ้างแล้วถือว่าได้ผลตอบรับที่ดีมาก

ส่วนการร่วมลงทุนกับ Metro Pacific Investments Corporation (MPIC) เพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียมและโรงแรมในประเทศฟิลิปปินส์ บริษัทยังคงเลื่อนการลงทุนออกไปก่อน เนื่องจากปัญหาโควิด-19 และโครงการพัฒนาคอนโดมิเนียม เดอะ แฮมป์ ตัน ศรีราชา บาย ออริจิ้น แอนด์ ดุสิต คาดว่าจะเห็น Activities ที่ดีขึ้นหลังจากเริ่มเปิดขายในเดือนพ.ย.63

นางศุภจี กล่าวว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวในปี 64 เบื้องต้นมองเป็น 2 เฟส โดยเฟส 1 ยังคงเน้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งบริษัทยังคงจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีความระมัดระวัง คาดว่าอย่างน้อยน่าจะเป็นลักษณะนี้ไปถึง 2 ไตรมาส และหากไตรมาส 3/64 มีวัคซีนเข้ามาก็น่าจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวและการเดินทางมากขึ้น เชื่อว่าจะเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา และน่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในไตรมาส 4/64 เป็นต้นไป

เฟส 2 คือการเดินทางที่มีเป้าหมาย เช่น การประชุม น่าจะเห็นภาพในช่วงสั้น แต่อย่างไรก็ตามมองว่าการเดินทางในลักษณะ Business Traveling ในระยะยาวน่าจะปรับตัวลดลงอย่างแน่นอน จากมีเทคโนโลยีเข้ามาทดแทน เมื่อเปิดประเทศแล้วนักท่องเที่ยวกลุ่มแรก ๆที่จะเข้ามาน่าจะมาจากประเทศใกล้ๆ กับไทยก่อน ส่วนประเทศไกลๆ ยังต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะหนึ่ง คงจะเห็นชัดเจนได้ในครึ่งปีหลังของปีหน้าเป็นต้นไป ขึ้นกับการควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศว่าทำได้ดีหรือไม่ และประสิทธิภาพของวัคซีน

ด้านภาพรวมของ DTC ในปี 64 คาดว่าจะเห็นการ Consolidation ธุรกิจโรงแรมเข้ามาเพิ่มขึ้น โดยบริษัทอยู่ระหว่างการมองหาซื้อกิจการโรงแรมเพิ่มเติม โดยเฉพาะโรงแรมที่อาจจะไม่สามารถฝ่าวิกฤติโควิดไปได้, การจัดพอร์ตธุรกิจให้มีความสมดุลมากขึ้น (A balanced portforio of owned, leased and managed models), การร่วมมือกันกับพันธมิตรเพื่อให้บริการเต็มที่ที่สุด, การให้ความสำคัญกับสุขอนามัย และนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจบริการ รวมถึงเรื่องของ Sustainability และ Wellness & holistic health experiences

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ธ.ค. 63)

Tags: , , , , , ,
Back to Top