‘ทรัมป์’กดดันเฟดต่อ ตลาดคาดเฟดหั่นแรงอีกรอบ มี.ค.นี้ ฉุดดอกเบี้ยใกล้ 0%

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวเมื่อวานนี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยและกระตุ้นเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ยังคงกดดันเฟดให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเฟดเพิ่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน 0.50% เมื่อวันอังคาร เพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินดังกล่าว มีขึ้นก่อนการประชุมตามปกติของเฟดที่มีกำหนดในวันที่ 17-18 มี.ค.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ถึงแม้เฟดสร้างความประหลาดใจต่อตลาดการเงินด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน 0.50% แต่เฟดยังมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 17-18 มี.ค.

FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดมีแนวโน้ม 72.6% ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในวันที่ 18 มี.ค. จากระดับ 1.00-1.25% สู่ระดับ 0.25-0.50% และมีแนวโน้ม 27.4% ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 0.50-0.75%

ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ระบุว่า ขณะนี้ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวนมากกว่า 100,000 ราย โดยจำนวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มมากขึ้นนอกประเทศจีน

ทั้งนี้ ณ เวลา 08.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 20.00 น.ตามเวลาไทย จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกอยู่ที่ระดับ 100,055 ราย โดยจีนมีผู้ติดเชื้อมากที่สุด ตามมาด้วยเกาหลีใต้ อิหร่าน และอิตาลี

นอกจากนี้ จำนวนผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกอยู่ที่ระดับ 3,398 ราย

ทางด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศปรับเพิ่มอัตราการเสียชีวิตทั่วโลกจากเชื้อไวรัสโควิด-19 สู่ระดับ 3.4% จากเดิมที่ระดับ 2%

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณฉุกเฉินวงเงิน 8.3 พันล้านดอลลาร์ในวันนี้ เพื่อใช้ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

แกนนำในสภาคองเกรสเป็นผู้ร่างกฎหมายดังกล่าวในวันพุธ ก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาให้การอนุม้ติเมื่อวานนี้ ขณะที่ปธน.ทรัมป์ลงนามเป็นกฎหมายในวันนี้

ความรวดเร็วในการผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ โดยงบประมาณดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 จากผู้ป่วยที่ต้องสงสัย รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนต้านเชื้อไวรัส และลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาทางการแพทย์

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 มี.ค. 63)

Tags: , , , , , ,
Back to Top