TSC ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตแตะ 2.6 พันลบ.หลังอุตฯยานยนต์ฟื้นตามเศรษฐกิจโลก

นายสริศ พัฒนะเมลือง กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยสตีลเคเบิล (TSC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ที่ 2,600 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,049 ล้านบาท หลังอุตสาหกรรมยานยนต์ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลกที่มีการทยอยฉีดวัคซีนในแต่ละประเทศมากขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทประมาณการยอดผลิตรถยนต์ในประเทศไทยปีนี้ที่ 1.6 ล้านคัน มากกว่าที่ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประมาณไว้ที่ 1.5 ล้านคัน เนื่องมาจากตั้งแต่เดือน ม.ค.-เม.ย.64 มียอดผลิตรถยนต์ไปแล้วประมาณ 570,000 คัน ซึ่งคิดเป็น 38% จากเป้าหมายทั้งปีของ ส.อ.ท. จึงมั่นใจว่ายอดผลิตรถยนต์ของไทยปีนี้จะเติบโตได้มากกว่าที่ทาง ส.อ.ท.ตั้งไว้

“การฉีดวัคซีนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดผลิตรถยนต์ในประเทศไทยปีนี้เป็นไปตามเป้าที่ 1.6 ล้านคัน เพราะในช่วงปีที่แล้วแม้จะเผชิญการแพร่ระบาดโควิด-19 และยังไม่มีวัคซีนยังสามารถผลิตได้ถึง 1.4 ล้านคัน ดังนั้นในปีนี้ที่เริ่มมีการกระจายวัคซีนแล้ว จะทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ฟื้นกลับมาทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ”

นายสริศ กล่าว

แม้บริษัทจะมียอดส่งออกโดยตรงไม่สูงมากนัก แต่มีอัตราการส่งออกผ่านลูกค้าที่เป็นบริษัทรถยนต์ชั้นนำในระดับสูง แบ่งเป็นตลาดต่างประเทศ 60%และตลาดในประเทศ 40% รวมไปถึงมีการพัฒนาสินค้าใหม่ในกลุ่มสายเคเบิ้ลภายในรถยนต์และรถจักรยานยนต์ร่วมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับออร์เดอร์ไปจนถึงปี 69 แล้ว ซึ่งจะทยอยเพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นรถกระบะ New Triton กับทาง Mitsubishi มูลค่าโครงการทั้งหมด 2,600 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายในปีหน้า, รถกระบะ Ranger&Everest กับทาง Ford มูลค่าโครงการประมาณ 4,000 ล้านบาท เป็นต้น

นายสริศ กล่าวถึงประเด็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังเติบโตในปัจจุบันว่า แม้ส่วนประกอบของรถ EV จะใช้สายเคเบิ้ลน้อยลง แต่ชุดควบคุมรางกระจกหน้าต่างรถยนต์ (Window Regulator) ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ อย่างไรก็ตาม การเติบโตของรถ EV เพิ่มอย่างรวดเร็วในเฉพาะตลาดยุโรปและสหรัฐฯเท่านั้น ด้านตลาดเอเชียหรือตลาดอื่นยังไม่เติบโต ทำให้สัดส่วนสายเคเบิ้ลรถยนต์ก็ยังสามารถสร้างรายได้อยู่

สำหรับปัญหาราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาเหล็ก ราคาเม็ดพลาสติก ที่มีความผันผวนทำให้ทางบริษัทได้รับผลกระทบอยู่บ้าง โดยทางบริษัทได้ดำเนินการเจรจาปรับราคากับลูกค้าเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มิ.ย. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top