TMT มั่นใจรายได้ปีนี้ยังโตแม้ลดเป้าปริมาณขายเหล็กแต่ได้รับผลดีราคาพุ่ง

นายสมเจตน์ ตรีธารทิพย์ กรรมการผู้อำนวยการสายการเงิน และเลขานุการบริษัท บมจ.ทีเอ็มที สตีล (TMT) เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และมีการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ในแคมป์ก่อสร้างต่างๆ ส่งผลให้การก่อสร้างโครงการต่างๆชะลอตัวลงไป และกระทบต่อความมั่นใจในการลงทุน ทำให้มีการชะลอการลงทุนโครงการต่างๆออกไป คาดว่าจะทำให้ปริมาณยอดขายเหล็กของบรษัทในปีนี้ต่ำกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ว่าจะเติบโต 7% จากปีก่อนมาที่ 800,000 ตัน ทำให้บริษัทปรับลดปริมาณการขายเหล็กในปีนี้ลงเหลือเติบโต 3-5% หรืออยู่ที่ 765,000-780,000 ตัน

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 2/64 บริษัทคาดว่าปริมาณขายเหล็กจะลดลง 10% หรือมียอดขาย 180,000 ตัน จากไตรมาส 1/64 มียอดขาย 200,000 ตัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3 เข้ามาเต็มไตรมาส ทำให้การสั่งซื้อเหล็กก่อสร้างชะลอตัวลง และเริ่มเห็นสัญญาณของผู้ประกอบการและผู้รับเหมาชะลอการก่อสร้างโครงการต่าง ๆ จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศ ซึ่งยังคงต้องติดตามว่าสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร

แม้ว่าปริมาณยอดขายเหล็กของบริษัทในปีนี้จะปรับลดลง แต่ในแง่ของมูลค่าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อน หลังจากทิศทางราคาเหล็กปรับเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 63 ถึงปัจจุบัน โดยตั้งแต่ต้ปนีจนถึงปัจจุบันราคาเหล็กปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว 30% และยังมองว่าทิศทางราคาในช่วงครึ่งปีหลังยังทรงตัวในระดับสูง ซึ่งจะหนุนให้มูลค่าการขายของบริษัทสูงขึ้น ช่วยผลักดันรายได้ในภาวะที่อุตสาหกรรมก่อสร้างชะลอตัว

ปัจจัยที่ยังคงสนับสนุนราคาเหล็กให้อยู่ในระดับสูงมาจากความต้องการใช้เหล็กในต่างประเทศกลับมาฟื้นตัว หลังจากหลายประเทศพยายามผลักดันการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเปิดเมืองเพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเดินหน้า โดยเฉพาะในประเทสจีนกลับมาเริ่มลงทุนก่อสร้างอีกครั้งตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อนทำให้ความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณซัพพลายเหล็กยังออกมาไม่มาก อีกทั้งราคาสินค้าโภคถัณฑ์ที่กลับมาเพิ่มขึ้นในปีนี้ ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาเหล็กให้ทรงตัวอยู่ในระดับสูงในช่วงครึ่งปีหลังนี้

ด้านสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์เหล็กของบริษัทในปัจจุบันยังคงใกล้เคียงกับปีก่อน โดยที่สัดส่วนการขายเหล็กที่ผลิตเองทั้งเหล็กแผ่นรีดร้อน และเหล็กแผ่นรูปตัวซี มีสัดส่วน 76% และเหล็กเทรดดิ้งมีสัดส่วน 24% โดยในปีนี้ก็ยังคาดว่าจะอยู่ในระดับดังกล่าว

สำหรับการลงทุนของบริษัทในปีนี้วางงบลงทุนไว้ที่ 600 ล้านบาท เพื่อนำไปลงทุน 4 โครงการ ได้แก่ ขยายพื้นที่คลังสินค้าเหล็กอีก 4,000 ตารางเมตรแล้วเสร็จในไตรมาส 2/64, เพิ่มกำลังการผลิตเหล็กแบบ Tube Mill อีก 78,000 ตัน/ปี คาดว่าแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3/64, เพิ่มกำลังการผลิตเหล็กแบบ Slitter อีก 74,000 ตัน/ปี คาดว่าแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1/65 และ เพิ่มกำลังการผลิตเหล็กแบบ Stay Flat อีก 180,000 ตัน/ปี คาดว่าแล้วเสร็จในไตรมาส 1/65

ทั้งนี้ หลังจากที่การเพิ่มกำลังการผลิตทั้งหมดแล้วเสร็จจะทำให้ในปี 65 บริษัทจะมีกำลังการผลิตเหล็กทั้งหมดเพิ่มเป็น 1 ล้านตัน/ปี ซึ่งจะรองรับการเติบโตในอนาคตได้เพิ่มขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มิ.ย. 64)

Tags: , , ,
Back to Top