ทรีนีตี้ มอง SET ต้น Q3/64 แกว่งในกรอบ 1,550-1,650 จุด

แนะเน้นกลุ่ม Growth ผสมด้วย Value ลดความผันผวน

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงต้นไตรมาส 3 ปี 2564 มองว่าดัชนีจะแกว่งตัวในลักษณะ Sideways โดยประเมินกรอบดัชนีที่ระดับ 1,550-1,650 จุด ขณะที่ปัจจัยที่จะเข้ามากระทบการลงทุน ในช่วงเดือน ก.ค.ยังคงให้น้ำหนักกับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งเริ่มมีสัญญาณชี้ให้เห็นถึงการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ต่างๆ ทั่วโลก จนอาจนำไปสู่ความกังวลต่อประสิทธิผลของวัคซีนได้ ส่วนการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก คาดว่าจะยังไม่มีข่าวร้ายใดๆ ออกมาในเดือนนี้ ซึ่งจะทำให้ปัจจัยสภาพคล่องในตลาดมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ดีต่อไป

“ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำให้นักลงทุนใช้ระดับดัชนี 1,600 จุดเป็นแกนกลางแบ่งครึ่งในการลงทุน หากดัชนีปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1,600 จุดขึ้นไปให้เน้นทางขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเข้าใกล้แนวต้านที่ 1,650 จุด ในทางกลับกัน หากดัชนีอยู่ในระดับต่ำกว่า 1,600 จุดลงมาให้เน้นทางซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเข้าใกล้แนวรับที่ 1,550 จุด”

นายณัฐชาต กล่าว

สำหรับการจัดสรรพอร์ตลงทุนนั้น อยากแนะนำเน้นไปทางหุ้น Growth มากกว่า Value ในเดือนนี้ เพราะมีโอกาสสูงที่จะปรับตัว Outperform จากเหตุผลดังต่อไปนี้ 1. เป็นหุ้นกลุ่มที่ทนทานและได้ประโยชน์ จากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังคงรุนแรง 2. เป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก Bond yield ระยะยาวที่ยังคงทรงตัวต่ำ จากความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อผ่อนคลายลง และประเด็น QE Tapering ที่ยังไม่น่าจะถูกส่งสัญญาณออกมาในเดือนนี้ และ 3. เป็นกลุ่มที่มัก Outperform ในช่วงที่ความชัน Yield curve อยู่ในระดับต่ำ

นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่ม Growth จะมีอัตราการเติบโตของกำไรแข็งแกร่งเป็นพิเศษ โดยให้เลือกหุ้น ที่ทนทานต่อเหตุการณ์โควิด-19 ในประเทศ ซึ่งมีกลุ่มที่น่าสนใจดังนี้คือ กลุ่มส่งออก ที่ส่วนใหญ่จะมีผลประกอบการไตรมาส 2 อยู่ในเกณฑ์ดี ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท และได้ประโยชน์จากพฤติกรรม WFH ในต่างประเทศ โดยมีหุ้นให้เลือก คือ KCE, TFG, ASIAN, SUN, XO กลุ่มโลจิสติกส์ แนะนำ LEO เพราะราคาปัจจุบันยังคงอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ทางทรีนีตี้ให้ไว้ เลือก WICE ในฐานะเป็นผู้เล่นที่มีสัดส่วนธุรกิจขนส่งทางอากาศและทางทะเลในที่ใกล้เคียงกัน และ SONIC ในฐานะที่มี Valuation น่าสนใจที่สุด กลุ่ม Packaging เนื่องจากดีมานด์ที่มีต่อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากนัก อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากพฤติกรรม New normal การสั่งสินค้าออนไลน์ และDelivery ต่างๆ รวมไปถึงได้ประโยชน์จากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง เลือก SCGP, SFT, SFLEX, UTP

“นอกจากหุ้นในกลุ่ม Growth แล้ว การผสมผสานพอร์ตในเดือนนี้ด้วยหุ้นกลุ่ม Value เล็กน้อยอาจเป็นเรื่องดี เนื่องจากระหว่างทาง นักลงทุนอาจมีความเชื่อมั่นมากขึ้นต่อการเปิดเมือง/เปิดประเทศ หากสถานการณ์โควิด-19 มีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้น มองกลุ่มหุ้น Value ที่ไม่ได้อิงราคาโภคภัณฑ์เช่นกลุ่มสถาบันการเงิน เป็นกลุ่มที่น่าสนใจ จากการที่ Valuation ในปัจจุบันลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำมากแล้ว”

นายณัฐชาต กล่าว

สำหรับหุ้น Value ในกลุ่มการเงินที่แนะนำ คือ 1. KBANK ที่กำลังจะประกาศผลประกอบการ ซึ่งผลดำเนินงานไตรมาส 2 คาดว่าจะออกมาไม่แย่มากนักเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน 2. MTC ซึ่งคาดหวังกำไรไตรมาส 2 ขยายตัวเป็นบวกทั้งเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสก่อนหน้า( QoQ ) และเปรียบเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน (YoY) รวมถึงได้ประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับต่ำ และ 3. BAM หลังตัวหุ้นปลอดแรงขายการปรับพอร์ตของนักลงทุนสถาบัน จากการถูกถอดออกจากดัชนี SET50 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ก.ค. 64)

Tags: , , , , ,
Back to Top