FPI ระบุผลงานกลับสู่ปกติตามเศรษฐกิจโลกฟื้น มั่นใจปีนี้รายได้โตมากกว่า 15%

นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจของบริษัทเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากยอดขายครึ่งปีแรกที่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตามการพื้นตัวของเศรษฐกิจโลกทำให้มีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 700 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้ปีนี้กว่า 50% ขณะที่สามารถบริหารต้นทุนการขายและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการขยับราคาสินค้าได้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้มั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตเกิน 15% ตามเป้าหมายที่วางไว้

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 มีกำไรสุทธิ 61.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63 ที่มีกำไรกำไรสุทธิ 4.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.9 ล้านบาท คิดเป็น 1,335.9% สาเหตุหลักมาจากยอดขายเพิ่มขึ้นทำให้มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทมีการจัดการที่ดีขึ้นทั้งการขึ้นราคาสินค้า, ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นจากฝ่ายผลิต, และการสูญเสียจากการผลิตลดลง

บริษัทมีรายได้รวม 551.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 369.4 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 182.0 ล้านบาท หรือคิดเป็น 49.3% โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 540.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.4% สาเหตุหลักมาจากการที่บริษัทเซ็นสัญญาค่าขนส่งของทวีปของอเมริกาใต้ล่วงหน้าในราคา 5,600 เหรียญสหรัฐ/ตู้จนถึงสิ้นปี 64 จากปัจจุบันราคาอยู่ที่ 11,000 เหรียญสหรัฐ/ตู้ ทำให้ลูกค้าซื้อสินค้ามากขึ้นจาก 37 ล้านบาท เป็น 89 ล้านบาท

ประกอบกับเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวจากการระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 ทำให้ยอดขายต่างประเทศเพิ่มขึ้นใน 4 โซนหลัก คือ เอเชียและตะวันออกกลาง, อเมริกาใต้, แอฟริกา และยุโรป เป็นจำนวน 116 ล้านบาท, 52 ล้านบาท, 16 ล้านบาท และ 15 ล้านบาทตามลำดับ ยอดขายของบริษัทลูกที่อินเดียยังน้อยเพราะคำสั่งซื้อโดนเลื่อนเนื่องจากผลกระทบของการระบาดไวรัสโคโรน่า 2019 รอบสอง

ขณะที่ต้นทุนขายและบริการเท่ากับ 405.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73.5% ลดลงจาก 74.7% ของยอดขาย เนื่องจากบริษัทสามารถขึ้นราคาสินค้ากับลูกค้าได้ 5-10% เนื่องการที่ราคาวัตถุดิบทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันบริษัทสามารถทำสัญญาซื้อวัตถุดิบ (โดยเฉพาะเม็ดพลาสติก, เคมีภัณฑ์, และสี) และสินค้าซื้อมาขายไปและตกลงราคาล่วงหน้าเป็นเวลา 6-12 เดือน ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาทำให้ภายในปี 64 ทางบริษัทหลีกเลี่ยงผลกระทบดังกล่าวได้ ประกอบกับประสิทธิภาพในการผลิตที่เพิ่มขึ้นในขณะที่ต้นทุนของเสียในการผลิตลดลงทำให้บริษัทฯสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดี

ส่วนผลประกอบการในงวด 6 เดือนมีกำไรสุทธิ 118.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับขาดทุน 37.1 ล้านบาท โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 127.5 ล้านบาท หรือ 14.4% อัตราส่วนต้นทุนการขายและบริการต่อยอดขายลดลง 6.0% อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลง 7.2% ค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลง 31.6 ล้านบาท โดยที่เกิดจากการลดลงของต้นทุนทางการเงิน 6.5 ล้านบาท และขาดทุนจากการเปลี่ยนสถานะทางการเงินในปี 63 อีก 25.1 ล้านบาท

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ส.ค. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top