ดาวโจนส์ปิดร่วง 382.59 จุด หลังเฟดส่งสัญญาณหั่น QE ปีนี้

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 1% เมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) หลังรายงานการประชุมเดือนก.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่เห็นพ้องที่จะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในปีนี้ โดยรายงานดังกล่าวได้ฉุดหุ้นร่วงลงเป็นวงกว้าง ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเฮลธ์แคร์

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,960.69 จุด ลดลง 382.59 จุด หรือ -1.08%
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,400.27 จุด ลดลง 47.81 จุด หรือ -1.07%
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,525.91 จุด ลดลง 130.27 จุด หรือ -0.89%

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 27-28 ก.ค. โดยระบุว่า “กรรมการเฟดส่วนใหญ่มองว่า เมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้นตามที่เฟดคาดการณ์ไว้ ก็เป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการ QE ในปีนี้ ขณะเดียวกันกรรมการเฟดมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐได้บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อแล้ว และการขยายตัวของการจ้างงานก็ใกล้จะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ”

นักวิเคราะห์จากบริษัท Chase Investment Counsel กล่าวว่า แม้รายงานการประชุมเฟดจะแสดงให้เห็นว่า มีกรรมการเฟดส่วนหนึ่งที่เห็นต่างในเรื่องกรอบเวลาการปรับลดวงเงิน QE แต่รายงานการประชุมก็บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า เฟดมีความคิดที่จะลดวงเงิน QE แน่นอน ขณะที่นักวิเคราะห์จากบริษัท Charles Schwab กล่าวว่า เฟดอาจจะส่งสัญญาณเรื่องการปรับลดวงเงิน QE ที่ชัดเจนมากขึ้นในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.นี้

หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวลง โดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงหนักสุดถึง 2.4% โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 2.12% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 4.01% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ร่วงลง 1.78% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ลดลง 1.41%

ดัชนีหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ร่วงลง 1.5% นำโดยหุ้นโนวาแวกซ์ ดิ่งลง 3.23% หุ้นไฟเซอร์ ร่วงลง 2.22% หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ลดลง 1.27% หุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส ร่วงลง 1.42% หุ้นอิไล ลิลลี่ (Eli Lilly) ดิ่งลง 1.52% หุ้นเอชซีเอ เฮลธ์แคร์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโรงพยาบาลรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ลดลง 0.99%

หุ้นที-โมบายล์ ซึ่งเป็นบริษัทด้านการสื่อสารรายใหญ่ของสหรัฐ ปรับตัวลง 0.6% หลังบริษัทเปิดเผยผลการสืบสวนการถูกโจมตีทางไซเบอร์ โดยระบุว่าแฮกเกอร์ได้โจรกรรมข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานแบบรายเดือนประมาณ 7.8 ล้านราย โดยข้อมูลดังกล่าวรวมถึงชื่อ-นามสกุล, วันเกิด, เลขประกันสังคม และข้อมูลใบขับขี่

หุ้นทาร์เก็ต ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 2.77% แม้บริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2 ที่ระดับ 3.64 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.49 ดอลลาร์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากยอดขายในช่วง back-to-school หรือช่วงก่อนเปิดเทอมการศึกษาของโรงเรียนต่างๆ

หุ้นโลว์ส (Lowe’s) ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 9.62% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2 ที่ระดับ 4.25 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.01 ดอลลาร์

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านดิ่งลง 7.0% ในเดือนก.ค. สู่ระดับ 1.534 ล้านยูนิต ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.60 ล้านยูนิต โดยตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของวัสดุก่อสร้าง

ทางด้านสมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการจำนองลดลง 3.9% ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากราคาบ้านที่พุ่งขึ้น และสต็อกบ้านที่ตึงตัว รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่ปรับตัวขึ้น

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีการผลิตเดือนส.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ส.ค. 64)

Tags: , , ,
Back to Top