YGG ตั้งเป้ารายได้ปี 65 โต 15-20% ผนึก ZooKeeper-จับมือพันธมิตรขยายธุรกิจหนุน

นายธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.อิ๊กดราซิล กรุ๊ป (YGG) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 65 เติบโต 15-20% โดยที่แนวโน้มของงานต่างๆ ที่เข้ามาคาดว่าจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจรับจ้างผลิต Animation และ Visual หลังจากค่ายหนัง บริษัททำโปรดักชั่นโฆษณาต่างๆ เริ่มผลิตคอนเทนต์ออกมามากขึ้น ทำให้ปริมาณงานในส่วนของ Animation Movie และ Visual Effects จะเริ่มเข้ามามากขึ้น

อีกทั้งรายได้จากธุรกิจเกม โดยเฉพาะเกม Home Sweet Home Survive ที่ได้รับความนิยมอย่างมากยังสร้างรายได้เข้ามาต่อเนื่อง จากฐานผู้เล่นเกมเพิ่มมากขึ้น หลังจากบริษัทจะมีการอัพเดทคอนเทนต์ของเกมจำนวนมากในไตรมาส 4/64 โดยปัจจุบันมียอดผู้เล่นเพิ่มเป็นกว่า 150,000 รายแล้ว รวมทั้งยังมีเกมที่อยู่ในแผนการพัฒนาที่เตรียมออกมาเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า

ขณะเดียวกันแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทกำลังก้าวไปสู่ Chapter 2 ต้นไม้แห่งโลกดิจิทัล ภายใต้ชื่อแผนธุรกิจว่า “Level up” จะเข้ามาหนุนการเติบโตของผลการดำเนินงานในปี 65 เป็นต้นไป โดย Up 1.เป็นการผสมผสานธุรกิจหลักที่ YGG มีความถนัดและมีประสบการณ์ ทั้งงานผลิตโฆษณาและภาพยนตร์ (VFX) ธุรกิจด้านภาพยนตร์แอนิเมชั่น รวมทั้งงานด้านเกมและอินโนเวชั่น อัพเลเวล เข้าสู่เทคโนโลยีรูปแบบใหม่ที่กำลังเป็นเทรนด์ลูกใหญ่ในตลาดโลก เพื่อสร้างรายได้บริษัทให้เติบโตแบบก้าวกระโดด

“YGG สามารถตอบโจทย์การมาถึงของเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็น เงินเหรียญดิจิตอล , AR, VR , MR ,Digital influencer ซึ่งต้องการรูปแบบคอนเทนต์สดใหม่และแตกต่าง พร้อมกับระบบสนับสนุนทั้ง Hardware และTechnology ใหม่ๆ”

นายธนัช กล่าว

ล่าสุด บริษัทประกาศความร่วมมือกับ ZooKeeper แพลตฟอร์ม decentralized บนบล็อกเชน ร่วมทำเกมบนโลกบล็อกเชน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับเหนือความคาดหมาย ติด Top Trending Cryptocurrencies ในประเทศสหรัฐฯและอังกฤษ ราคาเหรียญ ZOO ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดพร้อมมูลค่าตลาดของเหรียญเพิ่มขึ้น และมีการพูดถึงก้าวสำคัญครั้งนี้ตามหน้าสื่อใหญ่ๆ ในต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเห็นการเติบโตของมูลค่าเหรียญ ZOO เพิ่มขึ้นไปแตะระดับตัวเลขสิบหลักในปีหน้า จากปัจจุบันที่อยู่ตัวเลขหลักเดียว

การที่บริษัทเข้าไปร่วมพัฒนาเกมให้กับ ZooKeeper ซึ่งโมเดลธุรกิจจะวางอยู่บนพื้นฐานของตัวโทเคนสกุล $ZOO โดย ZooKeeper วางแผนที่จะขยายไปในเชนอื่นๆอีกในอนาคต และทุกๆการขยายเชน จะมีการเพิ่มเหรียญใหม่เข้าสู่ระบบ ซึ่งนอกเหนือจากค่าจ้างการผลิตเกมแล้ว YGG จะได้รับผลตอบแทนเป็นเหรียญใหม่บางส่วน อีกทั้ง YGG ยังสามารถแบ่งรายได้จากการขายทรัพยากรในเกม และ NFT ซึ่งจะเริ่มเห็นรายได้เข้ามาในปี 65

“ความร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้เกมที่ผลิตโดย YGG ได้รับความสนใจจากผู้เล่นทั่วโลกเพราะเกมได้ทั้งความสนุกและให้ผลตอบแทนด้วยทำให้สามารถดึงผู้เล่นกลุ่มใหม่เข้ามาได้ ภายใต้โมเดลของ Play-to-earn ซึ่งเป็นเทรนด์ใหญ่ของตลาดคริปโตที่กำลังได้รับความสนใจของตลาดเกม NFT โดยผู้เล่นจะ ได้รับรางวัลเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลในเกม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเหรียญคริปโตหรือทรัพยากรในเกมที่เป็นโทเคน เราคาดหวังว่าเกมของเราจะช่วยผลักดัน $ZOO ให้มีศักยภาพเทียบเท่า Axie ผู้นำของเกม Play-to-earn ที่มีมูลค่าตลาดสูงถึง 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ”

นายธนัช กล่าว

ในส่วน Up ที่ 2 บริษัทจะมีการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรในการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) เพื่อตอบสนองความต้องการที่เหนือระดับให้ลูกค้า โดยการขึ้นสู่ธุรกิจต้นน้ำ สร้างฐานธุรกิจเพื่อการเติบโตในรูปแบบใหม่ จากปัจจุบันธุรกิจของ YGG ให้บริการผลิตคอนเทนท์ VFX และแอนิเมชั่น คุณภาพสูงให้กับตลาดต่างประเทศ และในประเทศ มีผลงานผ่านตามากมาย อาทิเช่น Final fantasy Kingglave ,นาจา, Cinematic game ดังอื่นๆ , ผลงานโฆษณา รถยนต์ ยุโรปและ ญี่ปุ่น รวมทั้ง โฆษณาตัวใหญ่ในประเทศอีกหลายตัว และในอนาคตอันใกล้นี้จะเห็นการ์ตูนและซีรีส์ที่ YGG จับมือ กับพันธมิตร สร้างสรรค์ผลงานระดับโลก

โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากธุรกิจ Animation Movie ที่ 30% ธุรกิจ Visual Effects ที่ 30% และธุรกิจ Gaming 30% และบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาในการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องใหม่เพิ่มเติบ โดยเฉพาะการร่วมมือกับพันะมิตรที่มีศักยภาพและมีโปรแจ็คต์ที่น่าสนใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการเน้นการลงทุนในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนทยอยออกมาในปีหน้า โดยที่การลงทุนของบริษัทได้เตรียมเงินลงทุนไว้ราว 160 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ได้จากการระดมทุน IPO มาใช้ในการลงทุนเพื่อต่อยอกและผลักดันการเติบโตของธุรกิจ

ขณะที่มูลค่างานในมือ (Backlog) ของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ 140 ล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยรับรู้เข้ามาต่อเนื่อง จึงยังมั่นใจว่ารายได้ในปี 64 จะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เติบโต 20% จากปีก่อน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ต.ค. 64)

Tags: , , , , ,
Back to Top