รมว.คลัง คาด 21 ธ.ค.เห็นความชัดเจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งพิจารณามาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในวันที่ 21 ธ.ค 2564 เบื้องต้นมาตรการจะเน้นการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคสำหรับประชาชน ซึ่งมีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณา เพื่อไม่ให้การใช้จ่ายภาคประชาชนต้องสะดุด รวมถึงอาจจะมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายสำหรับกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ โดยรายละเอียดทั้งหมดยังอยู่ระหว่างการหารือ

ในส่วนโครงการคนละครึ่ง เฟส 4 นั้น อาจจะต้องขอพิจารณาตัวเลขดัชนีทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องก่อน โดยเฉพาะอัตราการใช้จ่ายของประชาชน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งอาจสะท้อนว่ามีเม็ดเงินที่ประชาชนเริ่มมีการนำออกมาใช้จ่ายได้มากขึ้น จึงต้องมาพิจารณาอีกครั้ง โดยยอมรับว่ามีการสอบถามเรื่องดังกล่าวเข้ามาทุกวัน โดยกระทรวงการคลังก็ต้องคิดทุกวัน และมีการติดตามตัวเลขดัชนีทางเศรษฐกิจตลอดเวลา

ขณะที่โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ที่ดำเนินการในปัจจุบันไม่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากนัก ดังนั้นก็ต้องมาดูโครงการอื่นที่มีความเหมาะสมเข้ามาทดแทน โดยปีหน้าจะมีเรื่องมาตรการลดหย่อนต่าง ๆ ในหลาย ๆ เรื่อง ก็อาจจะเข้ามาดูในกลุ่มนี้

“ขณะนี้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และภาคธุรกิจเริ่มกลับมาถือเป็นสัญญาณที่ดี มีสิ่งเดียวที่ต้องรอคอย คือ ภาคการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น เมื่อรายได้ของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น ประชาชนก็มีรายได้เพิ่มขึ้น เราจะเริ่มได้เห็นบางบริษัทเรียกพนักงานที่ถูกพักงานช่วงโควิด-19 กลับมาทำงาน มีการบรรจุพนักงานใหม่ เมื่อรายได้เข้ากระเป๋า การใช้จ่ายก็เข้าสู่ภาวะปกติ แม้ว่าจะไม่เท่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 เพราะมีกำลังซื้อจากท่องเที่ยวเยอะ แต่ก็ยืนยันว่ารัฐบาลยังพร้อมจะดูแลการใช้จ่ายภาคประชาชนต่อไป โดยการใช้จ่ายในประเทศคิดเป็นสัดส่วนถึง 50% ของจีดีพี รัฐบาลยังสามารถรักษาตรงนี้ให้เติบโตได้ ส่วนเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นั้น คาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปีในการฟื้นตัว” นายอาคม กล่าว

นายอาคม ระบุว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 65 เชื่อว่าจะขยายตัวได้ที่ 4% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าปีนี้ที่คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวที่ 1% ขณะที่การส่งออกยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องที่ระดับ 15-20% ถือเป็นตัวเลขที่ใช้ได้ โดยค่าเงินบาทก็มีส่วนช่วยภาคการส่งออกได้ค่อนข้างมาก ขณะที่ภาคเอกชนเองก็ต้องเร่งรัดในการเปิดตลาดใหม่ ๆ รวมถึงการสนับสนุนการค้าชายแดน ซึ่งทั้งหมดจะช่วยให้เศรษฐกิจในปีหน้าขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในปีหน้ารัฐบาลมีเม็ดเงินอีกกว่า 1 ล้านล้านบาท โดยมาจากงบลงทุน 6 แสนล้านบาท งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 3 แสนล้านบาท และเงินกู้จาก พ.ร.ก. กู้เงินโควิดเพิ่มเติม วงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่ยังเหลือเม็ดเงินอีก 2.5 แสนล้านบาท สำหรับเตรียมความพร้อมในการขยายการลงทุน และประคองการใช้จ่ายของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ขณะที่ภาคเอกชนเองที่ผ่านมามีการออกหุ้นกู้ใหม่ และหุ้นกู้นอกตลาดสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน สะท้อนถึงความพร้อมในการลงทุนในภาคธุรกิจ ทั้งหมดจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีหน้า

สำหรับความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนนั้น รมว.คลัง กล่าวว่า เชื่อมั่นว่ามาตรการด้านสาธารณสุขของไทยจะสามารถควบคุมได้ แม้ว่าปัจจุบันรัฐบาลจะมีการผ่อนคลายมาตรการ และมีการเปิดประเทศตั้งแต่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจและธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ประชาชนและภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นมากขึ้น สะท้อนจากการใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ยังต้องเดินคู่กับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด โดยต้องพยายามรักษาแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีนี้จนถึงปีหน้า รัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นากยรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เน้นย้ำตลอดว่า “การ์ดต้องไม่ตก”

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ธ.ค. 64)

Tags: , , ,
Back to Top