หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าย่อลงตาม ตปท.กลับมากังวลโอมิครอน-ผลประชุมเฟด

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่ง Sideway Down ย่อลงแต่ไม่มากเช่นเดียวกับตลาดต่างประเทศ ทั้งภูมิภาค-สหรัฐ-ยุโรปต่างปรับตัวลงกลับมากังวลหลังอังกฤษพบผู้ติดเชื้อโควิดโอมิครอนเสียชีวิตรายแรกกดดันสินทรัพย์เสี่ยงปรับลง แม้แต่ราคาน้ำมันก็ปรับลงไปด้วย ตลาดขาดปัจจัยหนุน เล็งขายก่อนผลประชุมเฟดห่วงลด QE มากกว่าเดิม-อาจขึ้นดอกเบี้ยเร็ว แต่บ้านเราวันนี้ผู้ติดเชื้อโควิดลดเหลือแค่ราว 2,000 รายถือเป็นแนวโน้มที่ดี ให้แนวรับ 1,620-1,617 แนวต้าน 1,630-1,634 จุด

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway Down ย่อตัวลงไม่มาก เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวลบไม่มาก เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐและตลาดยุโรปต่างปรับลง จากความกังวลเมื่ออังกฤษพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนเสียชีวิตรายแรก ทำให้อังกฤษกำลังเผชิญการแพร่ระบาดระลอกใหญ่จึงเตรียมใช้มาตรการเข้มอีกครั้ง อีกทั้งโควิดสายพันธุ์โอมิครอนกระจายไปทั่วโลกแล้ว และองค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ออกมาเตือนว่าอาจจะเป็นสายพันธุ์หลักที่จะระบาดต่อไป ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงต่างปรับตัวลงไม่เว้นแม้แต่ราคาน้ำมัน

ทั้งนี้ ตลาดฯขาดปัจจัยหนุน จึงคาดว่านักลงทุนคงจะเลือกขายก่อนผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะออกมา ซึ่งก็มีความกังวลเกี่ยวกับการปรับลด QE ที่มีโอกาสจะลดลงมากกว่าเดิม ซึ่งหากเร็วกว่าคาดก็จะกระทบสินทรัพย์เสี่ยง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะเร็วไปด้วย ซึ่งจะกดดันตลาดฯมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ต้องติดตาม FTSE Reblance มีผลในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ โดยไทยถูกปรับลดน้ำหนักการลงทุน ทำให้อาจได้เห็นแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะปรับการคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 ในสัปดาห์นี้ด้วย รวมถึงการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 21 ธ.ค.นี้อาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเพิ่ม

ส่วนบ้านเราวันนี้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลงมาเหลือแค่กว่า 2,000 ราย ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี และโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่พบในไทยก็เป็นผู้ที่มาจากต่างประเทศ ยังไม่พบการระบาดในประเทศ

พร้อมให้แนวรับ 1,620-1,617 จุด ส่วนแนวต้าน 1,630-1,634 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (13 ธ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,650.95 จุด ลดลง 320.04 จุด (-0.89%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,668.97 จุด ลดลง 43.05 จุด (-0.91%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,413.28 จุด ลดลง 217.32 จุด (-1.39%)

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 85.63 จุด หรือ -0.30%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 260.85 จุด หรือ -1.09% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 11.27 จุด หรือ -0.31%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (13 ธ.ค.) 1,625.83 จุด เพิ่มขึ้น 7.60 จุด (+0.47%)

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,248.16 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.64

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (13 ธ.ค.) ปิดที่ระดับ 71.29 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 38 เซนต์ หรือ 0.5%

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (13 ธ.ค.) อยู่ที่ 6.60 ดอลลาร์/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 33.40 ทรงตัวจากวานนี้ จับตาสถานการณ์โควิด-กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย

– คมนาคม มั่นใจปี 2565 อุตสาหกรรมการบินฟื้นตัว ผู้โดยสารโตก้าวกระโดด 62 ล้านคน “การบินไทย” เขย่าฝูงบิน ลดต้นทุนบริหารจัดการ “สมาคมสายการบิน” ชงรัฐยกเว้น-ลดค่าธรรมเนียมวีซ่า ลดขั้นตอน เอื้อนักท่องเที่ยวตัดสินใจง่ายรับศึก “เปิดประเทศ” แข่งเดือด

– แบงก์ชาติลุยจับตาช่วง 3 ปี ห่วงหนี้ครัวเรือนถ่วงเศรษฐกิจไทย แนะรัฐเร่งปรับโครงสร้างช่วยเหลือรายย่อย กระทุ้งหน่วยงานเกี่ยวข้องเตรียมมาตรการรับมือตลาดตราสารหนี้ผันผวน พร้อมการันตีธุรกิจประกันภัยฐานะทางการเงินยังมั่นคง

– “ศักดิ์สยาม”เปิดตัวระบบ EMV แตะบัตรเดบิต-เครดิต จ่ายค่าทางด่วน ตั้งเป้าภายใน 5 ปี ไม่มีจ่ายด้วยเงินสด ด้านกรมทางหลวงเผยยอดสมัคร M-Flow “มอเตอร์เวย์” ยังไม่ปัง 1 แสนสิทธิ์ ฟรี 2 เที่ยว ยังไม่เต็ม เหตุมีขั้นตอนและเอกสารยืนยันตัวตน เตรียมอัดโปรโมชันลดราคาเที่ยวละ 20% ก่อนเริ่มใช้จริง 4 ม.ค.65

– ผลการจัดงานมอเตอร์เอ็กซ์โปตั้งแต่ 1-12 ธ.ค.ที่ผ่านมารวม 12 วัน มียอดขายรถยนต์ทั้งหมด 31,583 คัน รถจักรยานยนต์ 3,253 คัน เงินหมุนเวียนภายในงานราว 43,000 ล้านบาท ผู้เข้าชมงาน 1,151,540 คน ราคาเฉลี่ยของรถยนต์ที่ขายได้ในงานอยู่ที่คันละ 1.3 ล้านบาท โดยเฉพาะรถเอสยูวีได้รับความนิยมมาก ส่วนราคาเฉลี่ยของรถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะบิ๊กไบค์อยู่ที่คันละ 3.98 แสนบาท

– ททท.เตรียมชง ครม. 1.32 หมื่นล้านบาท ต่อ “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส 4 เป็นของขวัญปีใหม่ หลังเฟส 3 หมดเกลี้ยง

 

หุ้นเด่นวันนี้

– IVL (กรุงศรี) “ซื้อ” เป้า 60 บาท คาดกำไร Q4/64 ฟื้นแข็งแกร่งเนื่องจากเกือบทุกผลิตภัณฑ์มีคำสั่งซื้อรองรับไปจนถึง Q1/65 การผลิตเดินหน้าเต็ม Capacity จากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ซัพพลายมีไม่เพียงพอหลังเกิดปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าในจีน

– SMT (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 8 บาท คาดกำไร Q4/64 เร่งตัวและมีลุ้นโตทั้ง Q-Q และ Y-Y ตามรายได้เร่งตัว และ Margin คาดยังแข็งแรงต่อเนื่อง หนุนกำไรทั้งปี 64 คาด +166% Y-Y ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 65 +27% Y-Y และคำสั่งซื้อ Secured แล้วถึง 80% ช่วยปิด Downside และคาดกำไรปี 65 +33% Y-Y อยู่ระหว่างหาที่ตั้งโรงงานแห่ง 2 หนุนการเติบโตระยะยาว พร้อมให้แนวรับ 6.60-6.50 บาท แนวต้าน 7.00-7.20 บาท

– VGI (คิงส์ฟอร์ด)”ซื้อเก็งกำไร”เป้า IAA Consensus 7.60 บาท แนวโน้มผลงาน Q3/64-65 ทยอยฟื้นตัว QoQ ตามเม็ดเงินโฆษณาหลังผ่อนคลายล็อกดาวน์และเปิดประเทศ ส่งผลให้ลูกค้ากลับมาใช้จ่ายงบโฆษณามากขึ้น แนวโน้มปี 65-66 คาดว่ากำไรเติบโตเด่น นอกเหนือจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมโฆษณายังมีปัจจัยหนุนจาก Synergy เข้าลงทุนใน JMART (15%) ทั้งบริการ Offline-to-Online (O2O) โซลูชั่นส์ของ VGI แก่กลุ่มบริษัท Jaymart และการใช้พื้นที่บนสถานี BTS เป็นจุดรับสินค้าและบริการ รวมทั้งการขยายเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าของ Fanslink ไปยังเครือข่ายทั่วประเทศของ JMART และ SINGER

– BAM (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 22 บาท ติดตาม ธปท.ปรับเกณฑ์ของธุรกิจ AMC สามารถเข้าซื้อ NPL ของหน่วยรัฐ ประเมิน BAM เป็นตัวเก็งอันดับหนึ่ง นอกจากนี้ เก็งกำไร Q4/64 สวย รับ High Season ในการซื้อหนี้เสีย ส่วนปี 65 คาดมีหนี้ให้ซื้ออีกมากหลังหมดมาตรการช่วยลูกหนี้สถาบันการเงิน พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 2.15 พันลบ. และ 3 พันลบ. +17%YoY, +40%YoY ตามลำดับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ธ.ค. 64)

Tags: , ,
Back to Top