ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 600 ล้านหุ้น-เข้า SET สร้าง 3 โรงไฟ้าขยะ-คืนหนี้

บมจ.ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ (TGE) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) และร่างหนังสือชี้ชวน ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 600,000,000 หุ้น คิดเป็น 27.3% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้ (Par value) 0.50 บาทต่อหุ้น โดยมี บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

TGE ก่อตั้งในปี 57 โดยครอบครัววนสุวรรณกุล ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 2 ประเภท ได้แก่ โรงไฟฟ้าชีวมวลจากทะลายปาล์มเปล่า เส้นใยปาล์ม หรือวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรกรรม เช่น ไม้ชิพ รากไม้สับ และโรงไฟฟ้าขยะชุมชน

บริษัทมีแผนจะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปใช้ลงทุนในโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจปัจจุบัน ดังนี้ โรงไฟฟ้าขยะชุมชน จังหวัดสระแก้ว, โรงไฟฟ้าขยะชุมชน จังหวัดราชบุรี และโรงไฟฟ้าขยะชุมชน จังหวัดชุมพร รวมถึงชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเข้าประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 4 โครงการ คาดว่าหากได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ร่วมลงทุนในโครงการในปี 65 จะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในปี 69 นอกจากนั้น บริษัทยังมีนโยบายขยายการลงทุนไปยังธุรกิจโรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนประเภทอื่นที่มีศักยภาพ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ พลังงานชีวมวล ก๊าซชีวภาพ รวมไปถึงพลังงานจากขยะ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาการขยายธุรกิจเพิ่มเติมไปสู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการผลิตไฟฟ้าเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต

บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าในกลุ่มทั้งหมด รวมกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าที่ COD และอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ ให้มากกว่า 100 เมกะวัตต์ภายในปี 70 และเพิ่มเป็นไม่น้อยกว่า 200 เมกะวัตต์ภายในปี 75 โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทน

พร้อมกันนี้บริษัทยังมีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจและการลงทุนที่เกี่ยวกับพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกใหม่ๆ รวมทั้งแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจที่สามารถสร้างการเติบโตและผลกำไรอย่างยั่งยืน ตลอดจนเทคโนโลยีด้านพลังงานที่ช่วยในการลดต้นทุน บริษัทมีแผนที่จะเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะชุมชน

ณ วันที่ 30 พ.ย.64 กลุ่มบริษัทมีโรงไฟฟ้าชีวมวลที่เปิด COD แล้ว 3 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 29.7 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 3 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 22 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการเข้าร่วมประมูล 4 โครงการ หากเป็นไปตามแผนงานที่กลุ่มบริษัทตั้งเป้าไว้จะทำให้บริษัทมีกำลังผลิตติดตั้งรวมในอีก 4 ปีข้างหน้า ประมาณ 90 เมกะวัตต์ และบริษัทยังคงแสวงหาโครงการไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการเข้าลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังผลิตติดตั้งให้ได้มากกว่า 200 เมกะวัตต์ภายในปี 75

TGE มีทุนจดทะเบียน 1,100,000,000 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ออกและชำระแล้ว 800,000,000 บาท คิดเป็นจำนวนหุ้นสามัญจำนวน 1,600,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยมี บริษัท ทีซีจี โฮลดิ้งส์ จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน640,000,000 หุ้น คิดเป็น 40% หลังเสนอขายหุ้น IPO จะลดสัดส่วนลงเหลือ 29.1% ส่วนที่เหลือถือหุ้นโดยตระกูลจันทรเสโน, วนสุวรรณกุล และ ลาภาโรจน์กิจ

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 61-63 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขาย 274.3 ล้านบาท, 336.1 ล้านบาท และ 650.9 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 54.1% ต่อปี มาจากโรงไฟฟ้าชีวมวลเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการเปิด COD และในปี 63 กลุ่มบริษัทเริ่มมีรายได้จากการรับบริหารจัดการกำจัดขยะจากโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนจังหวัดสระแก้ว ขณะที่มีกำไรสุทธิ 87 ล้านบาท 94.3 ล้านบาท และ 166.9 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 31.7%, 28.1% และ 25.7% ตามลำดับ

ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 64 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขาย 561 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 9.9 เมกะวัตต์ เริ่ม COD และรายได้จากการจำหน่ายน้ำและไอน้ำ 30.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.5 ล้านบาท

ณ วันที่ 30 ก.ย.64 กลุ่มบริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์รวมทั้งสิ้น 29.7 เมกะวัตต์ ปริมาณไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รวม 20.3 เมกะวัตต์ และส่วนที่เหลือจำหน่ายให้บริษัทในกลุ่มและบริษัทที่เกี่ยวข้อง (ณ วันที่ 30 ก.ย.63 มีกำลังการผลิต 19.8 เมกะวัตต์ และปริมาณไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ กฟภ. 16.9 เมกะวัตต์)

กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ 154.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิที่ 27.6% ตามกำลังผลิตโรงไฟฟ้าใหม่และอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าเดิมเพิ่มขึ้น ประกอบกับการควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารที่มีประสิทธิภาพโดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมลดลง

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล การจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย และภาระผูกพันตามเงื่อนไขของสัญญาเงินกู้ โดยพิจารณาจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ธ.ค. 64)

Tags: , , , , , , , ,
Back to Top