นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ เปิดเผยทิศทางการลงทุนเดือน ม.ค.ว่า ทรีนีตี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วงเดือนแรกของปีจะมีแนวต้านสำคัญที่ 1,500 จุด ซึ่งเป็นระดับดัชนีที่พอสามารถยืดไปถึงได้ หากกระแสเงินทุนยังไหลเข้า ในทางกลับกันมองแนวรับแรกที่ 1,400 จุด และแนวรับสำคัญที่ 1,360 จุด ซึ่งเป็นระดับดัชนีที่อิงกับ Forward PE ที่ 17.3 เท่า ถือเป็นระดับที่คำนึงถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในช่วงถัดไปแล้ว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ในประเทศกลับมาระบาดรุนแรงอีกครั้ง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือน ม.ค.คาดว่า นักลงทุนจะกลับมาให้ความสนใจลงทุนหุ้นเติบโต (Growth) อีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้ช่วงการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 4/63 เนื่องจากหุ้นเหล่านี้มีโอกาสส่งมอบผลกำไรที่ดีได้ ซึ่งแตกต่างกับหุ้นกลุ่มวัฏจักร (Cyclical) และหุ้นกลุ่มคุณค่า (Value) ที่ดีดตัวขึ้นแรงในช่วง 1-2 เดือนก่อนหน้านี้ แต่ในแง่ผลประกอบการนั้นอาจสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน ได้ ดังนั้นผู้ที่ถือครองหุ้นเหล่านี้อยู่อาจต้องระวังแรงขายที่อาจเกิดขึ้นในช่วงก่อนประกาศงบการเงิน
นายณัฐชาต กล่าวว่า สำหรับกลุ่มหุ้นแนะนำและให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาดในเดือน ม.ค.คือ
- กลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่ม Defensive ที่ยังคง Laggard ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า และมีความน่าสนใจมากขึ้นจาก Bond yield ในประเทศที่ปรับตัวลดลง ประกอบด้วย GULF, GPSC, EA, BGRIM, EGCO ,RATCH และ ACE
- กลุ่มไฟแนนซ์ ที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจชะลอตัวและดอกเบี้ยต่ำ อาทิ กลุ่มปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล ได้แก่ SAWAD, MTC และกลุ่มบริหารหนี้ ที่ได้ประโยชน์จากการซื้อหนี้ในระดับราคา ที่น่าสนใจ ได้แก่ BAM, JMT และ CHAYO
- กลุ่มถุงมือยางได้อานิสงส์เชิงบวกจากการกลับมาระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกที่รุนแรงต่อเนื่อง คือ STGT และ 4.กลุ่มหุ้นปันผล ที่มีความเชื่อมั่นในระดับสูงว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกได้ในเดือน ม.ค.ประกอบด้วย PTT, INTUCH, GUNKUL, BCPG, TVO และ ORI โดยหุ้นทั้ง 6 ตัวนี้มีความเชื่อมั่นทางสถิติ เกินกว่า 70% ว่าจะให้ผลตอบแทน Total return เป็นบวกในเดือน ม.ค.
ส่วนหุ้นกลุ่มที่ให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด คือ 1. หุ้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19 รอบนี้ ได้แก่ กลุ่มธนาคารและกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม สายการบิน สนามบิน และร้านอาหาร 2. กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการบริโภคภายในที่ชะลอตัว จนอาจส่งผลกดดันต่อยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ได้แก่ กลุ่มค้าปลีกและห้างสรรพสินค้า 3. กลุ่มขนส่งสาธารณะ ที่ได้รับผลกระทบจากระดับการสัญจรในประเทศที่ลดลง
ทั้งนี้ จากสถิตินับตั้งแต่ปี ค.ศ.2011 เป็นต้นมา พบว่าช่วง 4 เดือนแรกของทุกปีมักเป็นช่วงเวลาที่ดีของหุ้นปันผล โดยหากดูในมิติของค่ากลางอัตราผลตอบแทนจะพบว่า ให้อัตราผลตอบแทนในแต่ละเดือนดังนี้ เดือน ม.ค.ให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ 3.6% เดือน ก.พ.ให้ผลตอบแทน 2.3% เดือน มี.ค.ให้ผลตอบแทน 0.2% และเดือน เม.ย.ให้ผลตอบแทน 1.8% จึงถือเป็นธีมการลงทุนหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะกลางได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ม.ค. 64)
Tags: ณัฐชาต เมฆมาสิน, ตลาดหุ้นไทย, บล. ทรีนีตี้, หุ้นไทย