ดาวโจนส์ปิดร่วง 382.59 จุด กังวลเดโมแครตขึ้นภาษี-ยอดโควิดพุ่ง

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (4 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภารอบสองในรัฐจอร์เจีย รวมทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากราคาหุ้นโบอิ้งที่ทรุดตัวลงกว่า 5% หลังจากนักวิเคราะห์ได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นโบอิ้ง

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,223.89 จุด ร่วงลง 382.59 จุด หรือ -1.25%
  • ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,700.65 จุด ลดลง 55.42 จุด หรือ -1.48%
  • ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,698.45 จุด ลดลง 189.84 จุด หรือ -1.47%

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงในวันเดียวที่หนักที่สุดในรอบเกือบ 10 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภารอบสองในรัฐจอร์เจียวันนี้ (5 ม.ค.) จะทำให้ทางพรรคสามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งในทำเนียบขาว วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะทำให้การผลักดันมาตรการปรับขึ้นภาษีภายใต้รัฐบาลของนายโจ ไบเดน เป็นไปได้ง่ายขึ้น และจะกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท

ทั้งนี้ นายไบเดนมีนโยบายเพิ่มภาษีคนรวยเพื่อช่วยคนจน โดยเขาจะยกเลิกมาตรการปรับลดอัตราภาษีของปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยการปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสู่ระดับ 28% จากเดิมที่ปธน.ทรัมป์ปรับลดจาก 35% สู่ระดับ 21% ในปัจจุบัน นอกจากนี้ นายไบเดนจะปรับเพิ่มภาษีของครัวเรือนที่มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี โดยมีการคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นภาษีดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น 4 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลา 10 ปี

ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสหรัฐ โดยข้อมูลล่าสุดจาก Worldometer สหรัฐมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 21,113,528 ราย และมีผู้เสียชีวิต 360,078 ราย โดยสหรัฐยังคงเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดของโลก

หุ้นโบอิ้ง ซึ่งเป็น 1 ใน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดร่วงลง 5.29% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทแบร์สเติร์นได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นโบอิ้งลงสู่ระดับ “underperform” เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับกระแสเงินสดหมุนเวียนของโบอิ้ง

หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวลง นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วงลงหนักสุดถึง 3.29% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานขยับขึ้น 0.13%

หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 3.42% ปิดทำนิวไฮ หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2563 ที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์

หุ้นอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ร่วงลง 2.1% ขณะที่หุ้นบริษัทจีนรายอื่นๆที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงเป็นส่วนใหญ่ ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวที่ว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กประกาศถอดถอนบริษัทสื่อสารรายใหญ่ของจีน 3 แห่งออกจากตลาด ซึ่งได้แก่ ไชน่าเทเลคอม, ไชน่าโมบายล์ และไชน่ายูนิคอม (ฮ่องกง) เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งของคณะบริหารของปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ที่ขึ้นบัญชีดำบริษัทที่ถูกควบคุมหรือเป็นเจ้าของโดยกองทัพจีน

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนพ.ย. หลังจากพุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนต.ค. ขณะที่ไอเอชเอส มาร์กิต เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 57.1 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2557 จากระดับ 56.7 ในเดือนพ.ย.

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ดัชนีภาคการผลิตเดือนธ.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนธ.ค.จาก ADP , ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนพ.ย., ดัชนีภาคบริการเดือนธ.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ม.ค. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top