SC เป้าปี 64 ยอดขาย 2 หมื่นลบ.รายได้ 1.9 หมื่นลบ.เปิด 11 โครงการใหม่ 1.7 หมื่นลบ.

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) ประกาศทิศทางธุรกิจช่วงปี 64-65 ภายใต้ความพร้อมของ SC ในแบบ Fully-Loaded โดยตั้งเป้าสู่แบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 โดยจะทุ่มเงินลงทุน 25,000 ล้านบาท ใน 2 ปีนี้เพื่อโอนที่ดินจำนวนมากกว่า 30 แปลง และรุกพัฒนาโครงการแนวราบแบบจัดหนักครอบคลุมทุกระดับราคาทั่วกรุงเทพ-ปริมณฑล

สำหรับปี 64  บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 20,000 ล้านบาท และรายได้ 19,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากโครงการเพื่อขายทั้งหมดในปีนี้จำนวน 69 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 57,500 ล้านบาท โดยเป็น 11 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 8 โครงการ มูลค่า 9,000 ล้านบาท และแนวสูง 3 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท โดยโครงการใหม่ส่วนใหญ่ 60-70% จะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง และที่เหลืออีก 30-40% รอดูสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ก่อน หากสถานการณ์ดีขึ้นก็จะเริ่มทยอยเปิดในไตรมาส 2/64

นายณัฐพงศ์ เปิดเผยว่า แผนธุรกิจช่วงปี 64-65 มีกลยุทธ์สำคัญนอกเหนือจากการเตรียมความพร้อมด้านที่ดินและการพัฒนาโครการแนวราบแล้ว ยังจะสร้างความพร้อมด้านสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง มีเงินสดและวงเงินพร้อมเบิกมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท พร้อมกับการลดหนี้ให้มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงมาที่ 1.38 เท่า จาก D/E 1.58 เท่าในปี 62

ขณะเดียวกันบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าตามปรัชญาแบรนด์ For Good Mornings สร้างทุกเช้าที่ดีให้ลูกค้าทุกคน ใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ Design, Technology และ Living Solutions เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในยุค new normal พร้อมรองรับกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นภายในบ้าน พัฒนาบ้านทุกระดับราคา พร้อมกับพัฒนาฟังก์ชั่นสำหรับทุก generations เพื่อรองรับการใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านมากขึ้น และ การทำกิจกรรมหลากหลายร่วมกันอย่างลงตัว

สำหรับในปี 64 บริษัทมองว่าตลาดแนวราบยังมีทิศทางที่ดี โดยเฉพาะแนวราบระดับบนเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง และยังเขื่อว่าใน 1-2 ปีนี้ตลาดแนวราบระดับบนจะเติบโตได้ต่อเนื่อง จากกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงยังมีเงินสดเหลือค่อนข้างมาก และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำจูงใจการซื้อที่อยู่อาศัย เห็นได้จากแบรนด์ คือ Bangkok Boulevard ที่เป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป สามารถทำยอดขายได้ดีมาอย่างต่อเนื่องในปีก่อน และมีส่วนแบ่งตลาด (Market Share) ในตลาดบ้านเดี่ยวระดับบนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากมาเป็น 26% ในปี 63 จากปี 62 อยู่ที่ 17% ซึ่งทำให้บริษัทยังคงความเป็นอันดับ 1 ในตลาดบ้านเดี่ยวระดับบนมาต่อเนื่อง

ขณะที่ทิศทางตลาดคอนโดมิเนียมในปี 64 ยังมองว่ามีความท้าทายค่อนข้างมาก หลังจากที่พฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยของคนในยุคใหม่เริ่มมีความต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น และปริมาณซัพพลายของคอนโดมิเนียมในตลาดยังมีอยู่ค่อนข้างมาก และกลุ่มลูกค้าต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยได้ ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมยังคงไม่ฟื้นตัวขึ้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการเปิดโครงการคอยโดมิเนียมของบริษัทจะเน้นไปที่ทำเลและการเจาะกลุ่มลูกค้าที่เหมาะสมกับความต้องการอยู่อาศัยในทำเลนั้นๆเป็นหลัก

ด้านมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในปัจจุบันมีอยู่ที่ 6 พันล้านบาท จะรับรู้รายได้เข้ามาในปีนี้ราว 50% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 65 ทั้งหมด และบริษัทยังเดินหน้าเร่งระบายสต็อกคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ที่มีราว 8 พันล้านบาทให้หมดภายในปี 65 เพื่อทำให้บริษัทมีรายได้และมีสภาพคล่องกลับมา เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงินให้กับบริษัทมากขึ้น

ส่วนความคืบหน้าการลงทุนธุรกิจโรงแรมยังคงมีการลงทุนต่อเนื่องตามแผนทั้งในกรุงเทพฯและพัทยา แม้ว่าในปัจจุบันสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ยังไม่สิ้นสุดลงอย่างชัดเจน แต่บริษัทยังมองว่าหลังจากโควิด-19 ผ่านพ้นไปแล้วการท่งอเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นและค่อยๆกลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งการลงทุนในธุรกิจโรงแรมถือเป็นโอกาสที่เข้ามาต่อยอดการเติบโตให้กับธุรกิจในอนาคต พร้อมกับการสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เสริมให้กับบริษัทเพิ่มเติม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ก.พ. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top