MAJOR นำร่องเปิดให้แลกซื้อตั๋วหนังด้วยคริปโทฯ มั่นใจผลงานเริ่มฟื้นใน Q2/64

นายนรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) เปิดเผยว่า บริษัทได้จับมือกับซิปเม็กซ์ (ZIPMEX) แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทย และแรพิดซ์ (RAPIDZ) ผู้ให้บริการระบบบริหารการรับแลกสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มโครงการ “ทดลองรับแลกตั๋วหนังด้วยสกุลเงินดิจิทัล” รายแรกของไทย

ซึ่งบริษัทถือเป็นโรงภาพยนตร์รายแรกในอุตสาหกรรมบันเทิงที่ทดลองรับสกุลเงินดิจิทัล หรือคริปโทเคอร์เรนซี (Crytocurrency) แลกรับตั๋วหนัง โดยในช่วงเริ่มต้นการทดลองจะใช้บิทคอยน์ (Bitcoin) ในการซื้อตั๋วหนัง โดยจะเริ่มให้บริการที่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน เป็นสาขาแรก ตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค. 64 เป็นต้นไป

บริษัทได้เปิดกระเป๋าเงินอิเล็คทรอนิกส์ (Wallet) กับผู้ให้บริการที่เป็นพันธมิตรทั้ง 2 ราย เพื่อเป็นการนำเหรียญที่ลูกค้าใช้ซื้อตั๋วหนังตามมูลค่ามาเก็บไว้ และบริษัทสามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินบาท ซึ่งทาง RAPIDZ จะเป็นผู้รับความเสี่ยงในเรื่องความผันผวนของราคาสกุลเงินคริปโทเคอร์เรนซี หากราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีปรับเพิ่มขึ้นทาง RAPIDZ จะได้ส่วนต่างกำไรไป แต่หากราคาปรับลดลง ทาง RAPIDZ ก็จะรับผลขาดทุนไปแทน โดยที่ทางเมเจอร์ฯยังคงรับรายได้จากการขายตั๋วหนังตามราคาที่เสนอขายกับลูกค้า

“ทางเราไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาเหรียญคริปโทฯ เพราะทาง RAPIDZ จะเป็นผู้รับความเสี่ยงในส่วนนี้ อย่างเราขายตั๋วหนังใบละ 220 บาท เมื่อมีลูกค้ามาชำระด้วยเหรียญคริปโทฯ เมื่อเราขายเหรียญออกมาก็ยังคงได้เงิน 220 บาท ส่วนต่างราคาจะกำไรหรือขาดทุนทาง RAPIDZ จะรับความเสี่ยงในส่วนนี้แทน และทาง RAPIDZ ก็ช่วยบริหาร ส่วน ZIPMEX ก็มีส่วนช่วยในการบริหารระบบ และการขยายฐานลูกค้าที่ถือคริปโทฯ ซึ่งมีลูกค้ากว่า 110,00 ราย การที่นำร่องการรับชำระด้วยคริปโทฯเป็นราคา ถือเป็นสร้างนวัตกรรม และขยายช่องทางการรับชำระเงินให้มากขึ้น”นายนรุตม์ กล่าว

ทั้งนี้ คาดว่าจะมีลูกค้าที่ถือเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี โดยเฉพาะบิทคอยน์ ที่เข้ามาซื้อตั๋วหนังของเมเจอร์ราว 1,000-10,000 คน/เดือน ซึ่งบริษัทมองโอกาสการเติบโตของตลาดสกุลเงินดิจิทัลในประเทศที่มีผู้ถือครองเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้บริษัทเล็งเห็นถึงเพิ่มช่องทางการรับชำระเงินด้วยเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี เริ่มจากบิทคอยน์ และในปี 64 คาดว่าจะเพิ่มสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆเข้ามาเพิ่มเติม เช่น อีเธอเรียม (Ethereum) และเหรียญสกุลเงินของพันธมิตรคือ ZIPMEX (ZMT)

นายนรุตม์ กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัท คาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 2/64 เป็นต้นไป หลังจากที่สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศคลี่คลายมากขึ้น และการที่มีวัคซีนเข้ามาใช้ในประเทศและในช่วงปลายเดือนมี.ค.นี้ หนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวู้ดส์ที่เลื่อนฉายมาจากปี 63 กลับมาทยอยเข้าฉายในโรงภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง และทางสตูดิโอสร้างหนังยืนยันว่าจะไม่มีการเลื่อนวันฉาย หลังจากโรงภาพยนตร์ในสหรัฐฯกลับมาเปิดบริการอีกครั้ง เพราะผู้สร้างภาพยนตร์ก็ต้องการดึงทุนสร้างคืนให้เร็วที่สุด ทำให้ดึงดูดลูกค้ากลับมาเข้าชมหนังในโรงภาพยนตร์เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/64 เป็นต้นไป โดยที่จะค่อยๆเห็นการฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในด้านผลงานของบริษัท หลังจากผ่านจุดต่ำสุดของปีนี้ไปแล้วในช่วงไตรมาส 1/64

ขณะเดียวกันบริษัทเตรียมเปิดตัว Application Major Cineplex โฉมใหม่ทั้งหมด ด้วยการนำบริการที่มีอยู่ในเครือ MAJOR มารวมไว้ที่แอปพลิเคชันเดียว และมีความหลากหลายในการบริการทุกรูปแบบ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการขายผ่านช่องทางแอปพลิเคชั่นในปี 64 เพิ่มเป็น 20% จากปีก่อนที่ 10% โดยจะนำป๊อปคอร์นเข้ามาขายผ่านแอปพลิเคชันด้วย ซึ่งปัจจุบันยอดขายเติบโตค่อนข้างมาก จากการจัดโปรโมชั่นร่วมกับพาร์ทเนอร์ทางออนไลน์เดลิเวอร์ลี่ ได้แก่ แกร๊บ ฟู้ดแพนด้า ไลน์แมน รวมถึงการนำป๊อปคอร์นไปจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่สร้างยอดขายเพิ่มเข้ามาเพิ่มเติม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 มี.ค. 64)

Tags: , , , , , , , , ,
Back to Top