แอสเซทไวส์ คาดขาย IPO-เข้าเทรด SET ปลาย เม.ย.ใช้พัฒนาโครงการ-คืนหนี้

บมจ.แอสเซทไวส์ (ASW) คาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ช่วงปลายเดือน เม.ย.64 หลังจากวันนี้บริษัทจะมีการเดินสายให้ข้อมูลกับนักลงทุนและนักวิเคราะห์ต่างๆ และหลังจากนั้นบริษัทจะมาพิจารณาสัดส่วนการกระจายหุ้นให้กับนักลงทุนแต่ละส่วนอีกครั้งหนึ่ง

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) และ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ ASW ระบุว่า จุดเด่นของ ASW คือเป็นผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ครอบคลุมหลากหลายกลุ่มลูกค้าแต่ละระดับ และส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่ค่อยมีคู่แข่ง ทำให้การแข่งขันไม่สูง โดยบริษัทสามารถเลือกทำเลพัฒนาโครงการได้ดี ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อ และมีความสามารถบริหารจัดการต้นทุนต่างๆได้ดี

ดังนั้น จึงทำให้บริษัทมีอัตรากำไรสูงกว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่น โดยในปี 63 มีอัตรากำไรขั้นต้น 44% และอัตรากำไรสุทธิ 20.6% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้ประกอบการรายอี่นที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 33% และอัตรากำไรสุทธิ 12% เป็นจุดเด่นให้กับ ASW รวมถึงการมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ทำให้บริษัทมีความสามารถในการขยายธุรกิจต่อยอดการเติบโตต่อไปได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีแรงกดดันตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ภาพรวมเศรษงฐกิจชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง และกำลังซื้อชะลอลงด้วย แต่มองว่าหลายๆ ธุรกิจ รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะค่อยๆฟื้นตัวกลับมาตามภาวะเศรษฐกิจ อีกทั้งความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของคนในประเทศยังคงมีอยู่ และภาครัฐยังเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังสามารถขยายไปต่อได้

“แอสเซทไวส์ ถือเป็น Developer รายกลางในตลาดที่เก่ง ทั้งด้านวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร การเลือกทำเล การพัฒนา Product การควบคุมต้นทุน และมีฐานทุนที่แข่งแกร็ง จะเห็นว่าในปีก่อนแม้มีโควิด-19 กระทบ แต่แอสเซทไวส์ยังทำผลงานออกมาได้ดีกว่าภาพรวมของตลาด และการเข้าตลาดในครั้งนี้ก็จะนำเงินไปต่อยอดการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ ผมคาดหวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน”

นายก้องเกียรติ กล่าว

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ASW กล่าวว่า บริษัทมีความพร้อมเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 206 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.07% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน และเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจรองรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งโครงการแนวสูงและแนวราบในอนาคต

ในปี 64 บริษัทมีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่ารวม 1.08 หมื่นล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 5 โครงการ และแนวราบ 1 โครงการ และในปี 65-66 วางแผนจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 4 โครงการ มูลค่ารวม 1.03 หมื่นล้านบาท เบื้องต้นยังเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด

บริษัทยังคงมองเห็นโอกาสในการพัฒนาโครงการเพิ่มเติม จากการที่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมและแนวราบยังคงมีอยู่มาก ซึ่งบริษัทได้กระจายทำเลการพัฒนาให้มีความหลากหลาย และจัดประเภทแบรนด์ของโครงการที่บริษัทพัฒนาให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าในแต่ละระดับ

ปัจจุบัน บริษัทมีแบรนด์หลักเป็นคอนโดมิเนียมที่คนส่วนใหญ่รู้จักและสร้างยอดขายที่ดี ได้แก่ 1.แอทโมซ (Atmoz) เป็นคอนโดมิเนียม Low Rise 2. โมดิซ (Modiz) เป็นคอนโดมิเนียมเน้นการตกแต่งสไตล์โมเดิร์นผสมผสานกับความหรูหรา และ 3.เคฟ (Kave) เป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise เน้นทำเลใกล้กับสถานศึกษาและมหาวิทยาลัยชั้นนำ

สำหรับเงินจากขายหุ้น IPO จะนำมาใช้พัฒนาโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเติม คืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินบางส่วน ทำให้ภาระหนี้ลดลงและลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลดลงต่ำกว่า 2 เท่า จากสิ้นปี 63 อยู่ที่ 2.55 เท่า ส่วนเงินที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องให้กับบริษัท

ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการในมือทั้งหมด 33 โครงการ มูลค่า 3.04 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแล้วเสร็จ 25 โครงการ มูลค่า 1.9 หมื่นล้านบาท โครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างและเปิดขาย 8 โครงการ มูลค่า 1.13 หมื่นล้านบาท ขณะที่บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) กว่า 7.84 พันล้านบาท ทยอยรับรู้ถึงปี 66 โดยในปีนี้จะรับรู้รายได้ราว 5.3 พันล้านบาท บริษัทมั่นใจว่าจะยังมีรายได้เข้ามารองรับการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ด้านสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทก่อนเสนอขาย IPO นั้นสัดส่วนการถือหุ้นของครอบครัววิพันธ์พงษ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จะถือหุ้นรวมกันอยู่ที่ 96% หลังการเสนอขาย IPO จะลดสัดส่วนเหลือ 70% โดยที่ยังคงถือในหุ้นในสัดส่วนดังกล่าวต่อเนื่อง และมุ่งหวังผลักดันบริษัทให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน และคาดหวังว่าการเสนอขาย IPO จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปี 63 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท หรือเติบโต 60.2% จากปี 62 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 2.62 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 871 ล้านบาท เติบโต 193.1% จากปี 62 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 297 ล้านบาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 มี.ค. 64)

Tags: , , ,
Back to Top