“เอเอ็มอาร์ เอเซีย” ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 150 ล้านหุ้น คาดเข้า SET ภายในปีนี้

บมจ.เอเอ็มอาร์ เอเซีย (AMR) ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 8 เม.ย.2564 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ และมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีบล.ทรีนีตี้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย

นาย ดิถดนัย สังขะรมย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ. เอเอ็มอาร์ เอเซีย (AMR) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ Filing) แบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว ทั้งนี้หากขั้นตอนการดำเนินงานเป็นไปตามที่กำหนดไว้คาดว่าจะสามารถระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดธุรกิจ (Sector) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ได้ภายในปีนี้

นายมารุต ศิริโก กรรมการผู้จัดการ AMR กล่าวว่า เป้าหมายการระดมทุนในครั้งนี้บริษัทฯ นำไปเป็นเงินลงทุนในการพัฒนาธุรกิจด้านระบบคมนาคมขนส่งและเมืองอัจฉริยะ, เป็นเงินทุนสำหรับการวิจัยและพัฒนาด้านการให้บริการและต่อยอดเทคโนโลยี และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ

AMR ดำเนินธุรกิจด้านวิศวกรรมออกแบบและเชื่อมต่อระบบไอทีโซลูชั่น (System Integrator: SI) รวมถึงให้บริการงานดูแลรักษาและซ่อมบำรุงระบบเทคโนโลยีต่างๆ แบบครบวงจร ถือหุ้นโดยกลุ่มวิศวกรที่มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมากกว่า 20 ปี โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท และทุนที่เรียกชำระแล้ว 225 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 450 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 300 ล้านบาท

ผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทฯ สามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภทตามโครงสร้างรายได้ ได้แก่

1. งานให้บริการวางระบบให้บริการด้าน SI แบบครบวงจร ครอบคลุมงานวางระบบคมนาคมขนส่ง (Transportation Solution) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information Communication Technology: ICT) ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และความปลอดภัย (Computer Network and Security) และระบบโซลูชั่นเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยบริษัทฯ ให้บริการทั้งในรูปแบบที่เป็นผู้รับเหมาหลัก (Main Contractor) ซึ่งรับงานโดยตรงจากเจ้าของโครงการ และผู้รับเหมาช่วง (Sub Contractor) ที่รับงานจากผู้รับเหมาหลักรายอื่น ซึ่งสัญญาว่าจ้างส่วนใหญ่เป็นลักษณะของสัญญาจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey Contract) บริษัทฯ มีทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดหา และติดตั้งเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า ระบบเครื่องกล และระบบเทคโนโลยีต่างๆ แบบเบ็ดเสร็จ หรือ One-Stop Service ตามความต้องการของลูกค้า

2. งานให้บริการดูแลรักษาและซ่อมบำรุงระบบเครือข่ายและเทคโนโลยีต่างๆ ให้กับหน่วยงานต่างๆ โดยมีความสามารถในการให้บริการแบบครบวงจร ได้แก่ งานซ่อมบำรุงเชิงแก้ไข (Corrective Maintenance: CM) และงานซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance: PM) เป็นต้น

และ 3. จัดหาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไอทีโซลูชั่น ทั้งในรูปแบบฮาร์ดแวร์ (Hardware) และซอฟต์แวร์ (Software) สำหรับลูกค้าที่ต้องการแพลตฟอร์มพื้นที่ทำงานดิจิตอลในการบริหารจัดการในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Workspace และการรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงแอปพลิเคชั่นที่จะช่วยให้พนักงานในองค์กรทำงานผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น PC, Notebook, Smart Phone หรือ Tablet พนักงานสามารถเข้าถึงเครือข่ายองค์กรได้จากทุกที่ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และยังนำแพลตฟอร์ม Workplace มาใช้ในองค์กรในการทำงานที่คล่องตัวและรวดเร็วยิ่งขึ้น ตอบสนองความต้องการทั้งในด้านการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับลูกค้าองค์กรในยุคดิจิตอล

สำหรับปี 2564-2566 บริษัทฯ จะต่อยอดการเป็นผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมและการออกแบบระบบงานวิศวกรรม System Integration (SI) ของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจในด้านต่างๆ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เมืองอัจฉริยะ การเกษตรอัจฉริยะ ด้านวิศวกรรมระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ระบบขนส่งทางราง ระบบขนส่งมวลชน และด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร Internet of Thing (IOT) Solution

เพื่อสร้างรากฐานของความก้าวหน้าขององค์กร บริษัทฯ มีนโยบายลงทุน หรือร่วมลงทุนในกิจการ หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการผสมผสานเทคโนโลยีในแต่ละแขนงเพื่อสรรสร้างนวัตกรรมใหม่เพื่อตอบรับการขยายตัวทางโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และต่อยอดเทคโนโลยีอนาคตที่เริ่มถูกนำมาใช้ในชีวิตยุคดิจิตอล

โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ก่อนการเสนอขายหุ้นสามัญ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 ประกอบด้วย กลุ่มนายอังศุรัสมิ์ อารีกุลถือหุ้น 157,500,000 หุ้น คิดเป็น 35% หลังเสนอขาย IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 26.25%, นางสุชาดา มงคลดี ถือหุ้น 77,029,200 หุ้น คิดเป็น 17.12% หลังเสนอขาย IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 12.84%, กลุ่มครอบครัวศิริโก ถือหุ้น 51,300,400 หุ้น คิดเป็น 11.40% หลังเสนอขาย IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 8.55%

ผลดำเนินงานในปี 61-63 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 1,917.83 ล้านบาท 1,467.62 ล้านบาท และ 2,584.07 ล้านบาท ตามลำดับ ประกอบด้วยรายได้จากงานโครงการและการให้บริการ รายได้จากการขาย และรายได้อื่น ในปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมลดลงจากปี 2561 จำนวน 450.21 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 23.47 มีสาเหตุหลักมาจากบริษัทฯ อยู่ในช่วงเริ่มดำเนินงานโครงการใหม่ ในปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 1,116.45 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 76.07 เนื่องจากบริษัทฯ ทยอยรับรู้รายได้จากงานโครงการตามสัญญา

ในปี 61-63 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ เท่ากับ 140.99 ล้านบาท 27.39 ล้านบาท และ 247.55 ล้านบาท ตามลำดับ โดยในปี 62 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิลดลงจากปี 61 จำนวน 113.60 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 80.57 มีสาเหตุมาจากบริษัทฯ มีรายได้จากงานโครงการและการให้บริการลดลงจากปี 61 ทำให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นลดลงจำนวน 106.26 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 28.40 จากปี 61

ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทฯ ค่อนข้างคงที่ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิลดลงจากปี 61 และในปี 63 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 220.16 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 803.78 จากปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ มีการทยอยรับรู้รายได้ในอัตราที่เร่งขึ้นจากงานให้บริการวางระบบ และมีอัตรากำไรขั้นต้นรวมในปี 63 เท่ากับร้อยละ 20.60 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ร้อยละ 18.31 เนื่องจากบริษัทฯ สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 263.82 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 98.48 จากปีก่อน ประกอบกับบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง จึงส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อน

ณ สิ้นปี 2563 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมจำนวน 1,593.56 ล้านบาท หนิ้สินรวมจำนวน 1,080.35 ล้านบาท และส่วนของเจ้าของรวมจำนวน 513.21 ล้านบาท

บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 เม.ย. 64)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top