TISCO เผยกำไรสุทธิ Q1/64 โต 18.7% จาก 3 ธุรกิจหลัก-ตั้งสำรองลดลง-NPL ทรงตัว

บมจ.ทิสโก้ไฟแนนซ์เชียลกรุ๊ป (TISCO) เปิดเผยผลประกอบการงวดไตรมาส 1/64 กำไรสุทธิ 1,764 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.7% โดยมีฐานเงินสำรองสูงถึง 222% ขณะที่หนี้ด้อยคุณภาพอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ สะท้อนความสามารถในการบริหารธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ความท้าทายของภาวะเศรษฐกิจ

นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า ภายใต้โจทย์ในการดำเนินธุรกิจที่มีปัจจัยท้าทายรอบด้าน กลุ่มทิสโก้ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/64 เพิ่มขึ้น 18.7% สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจตลาดทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการนำเสนอขายกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น และดีลการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ครั้งแรก (IPO) รวมถึงทิสโก้มีกำไรพิเศษจากมูลค่าเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นด้วย

นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ผ่านมา การตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตของทิสโก้ปรับตัวลดลง ตามคุณภาพสินทรัพย์ที่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระดับ NPL ที่ทรงตัวที่ 2.5% รวมทั้งบริษัทได้กันสำรองครอบคลุมความเสี่ยงด้านเครดิตไว้ล่วงหน้าแล้ว ทำให้ระดับเงินสำรองต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) อยู่ในระดับสูง และแม้ว่าการปล่อยสินเชื่อจะยังไม่กลับสู่การเติบโต แต่ถือเป็นไปตามนโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังของบริษัท

“ธุรกิจเสาหลักของทิสโก้ประกอบด้วย 3 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจ Wealth Management ธุรกิจ Retail Banking และธุรกิจ Corporate Banking โดยทุกกลุ่มอยู่ภายใต้การสนับสนุนของบริษัทแม่ และแต่ละกลุ่มมีส่วนส่งเสริมซึ่งกันและกัน ขณะที่ความเสี่ยงกระจายตัวแยกกันชัดเจน จึงช่วยรักษาสมดุลด้านรายได้และทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่องขณะที่กลยุทธ์การทำงานภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง กลุ่มทิสโก้จะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการและควบคุมความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เลือกทำในสิ่งที่ชำนาญ รวมถึงแสวงหาโอกาสใหม่ๆ จากความชำนาญนี้ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า พร้อมปรับกระบวนการในการดำเนินการ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นตัวช่วยในการต่อยอดผลิตภัณฑ์และบริการที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า และเพื่อให้ธุรกิจผ่านพ้นวิกฤตและเติบโตได้อย่างยั่งยืน”

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 เม.ย. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top