ASW ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 11.00 บาท สูงกว่าราคาขาย IPO 12.02%

หุ้น ASW ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 11.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.18 บาท (+12.02%) จากราคาขาย IPO ที่ 9.82 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 3,274.96 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 11.80 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 12.60 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 10.60 บาท

นางยอดฤดี สันตติกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ หัวหน้าสายงานตลาดทุน บล.เอเซีย พลัส ในฐานะผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญของบมจ.แอสเซทไวส์ (ASW) กล่าวว่า ราคาเปิดการซื้อขายวันแรกของ ASW ที่สูงกว่าราคาจองซื้อราว 20% ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน จากความเชื่อมั่นในตัวของ ASW ที่เป็นบริษัทที่มีศักยภาพ และมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ดีในกลุ่มผู้พัมนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ สามารถมีโอกาสสร้างผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

และราคาเสนอขาย IPO ที่ 9.82 บาท/หุ้น เป็นราคาที่เหมาะสมที่ยังสามารถสร้างผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) ให้กับนักลงทุนได้ เมื่อดูจากบทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ที่ออกมา อย่างของบล.เอเซีย พลัส ที่ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 11.40 บาท/หุ้น ส่งผลให้ราคาเปิการซื้อขายวันแรกของ ASW ปรับตัวสูงขึ้น

ด้านนายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ASW เปิดเผยว่า หลังจากที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯแล้วบริษัทจะเดินหน้าในการพัฒนาโครงการต่อเนื่อง โดยในปีนี้การเปิดโครงการใหม่ยังคงเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ 6 โครงการ มูลค่ารวม 1.08 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียม 5 โครงการ และแนวราบ 1 โครงการ

แม้ว่าปัจจุบันจะมีการแพร่รระบาดโควิด-19 ระลอก 3 เข้ามากระทบอยู่บ้าง แต่บริษัทมองว่ายังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในตลาดอยู่ค่อนข้างมาก ทำให้บริษัทยังมองโอกาสที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ที่จะเข้ามาดึงดูดดีมานด์ในตลาดได้

ขณะเดียวกันเงินที่ได้จากการเสนอขาย IPO ในสัดส่วน 50% จะนำไปใช้ซื้อที่ดินเพิ่มเติม เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปีต่อๆไป ซึ่งในแต่ละปีบริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ 5-7 โครงการ/ปี หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว ทำให้บริษัทจะต้องมีการวางแผนซื้อที่ดินไว้ล่วงหน้า โดยที่ทำเลในการพัฒนาโครงการยังคงเน้นไปที่ทำเลที่อยู่ในเมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ซึ่งถือว่ายังเป็นตลาดที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก

ส่วนเป้าหมายของผลงานในปี 64 คาดว่ารายได้จะเติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 4.2 พันล้านบาท โดยที่จะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาในปีนี้ราว 5.3 พันล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมด 7.8 พันล้านบาท และยังจะมีรายได้จากการขายโครงการที่พร้อมอยู่ที่มีมูลค่ารวม 1.9 หมื่นล้านบาท จำนวน 25 โครงการ ทำให้บริษัทมีรายได้เข้ามาเสริมจากการโอนโครงการใหม่ที่แล้วเสร็จในปีนี้

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในด้านการขายในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ในปัจจุบัน บริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมในด้านการขายของทีมงานมาใช้การขายผ่านระบบออนไลน์ และการทำตลาดผ่านออนไลน์มากขึ้นในช่วงนี้ พร้อมกับการเตรียมทีมในการให้บริการลูกค้า หากลูกค้าต้องการเข้ามาเยี่ยมชมโครงการก็มีการนัดหมายให้ทีมงานเข้ามาบริการพาลูกค้าเข้าเยี่ยมชม ทำให้บริษัทไม่เสียโอกาสในการขายในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาดในช่วงนี้

นอกจากนี้ บริษัทยังคงเน้นการรักษาความสามารถการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่ดี ซึ่งตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้ไม่ต่ำกว่า 30-40% ซึ่งจะเน้นการที่ควบคุมต้นทุนและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งการที่ได้เงินจาก IPO มา จะนำเงินที่ได้จาก IPO สัดส่วน 40% หรือจำนวนเงิน 970 ล้านบาท ไปชำระคืนหนนี้ที่มีดอกเบี้ย ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลง (D/E) ลดลงต่ำกว่า 2 เท่า จากสิ้นปีก่อนที่ 2.55 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E) จะลดลงต่ำว่า 1.67 เท่า ส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรมากขึ้น

“ราคาเปิดการซื้อขายวันนี้ที่ปรับสูงขึ้นกว่าราคา IPO บริษัทก็พึงพอใจ และก็มากกว่าที่คาดหวังไว้ ซึ่งจากการทำงานอย่างเต็มที่ในการนำบริษัทเข้าตลาดของทีมงานทุกคน และที่ปรึกษา อีกทั้งยังได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีตั้งแต่เสนอขาย IPO และในวันเทรดวันแรก เราก็พร้อมที่จะทำให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทุกคนเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทที่จะสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน”นายกรมเชษฐ์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 เม.ย. 64)

Tags: , , ,
Back to Top