กกร.ลดประมาณการ GDP ปี 64 เป็น 0.5-2% มองโควิดระลอกใหม่รุนแรงกว่าคาด

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 64 เป็นขยายตัวได้ในกรอบ 0.5-2.0% จากครั้งก่อนคาดขยายตัว 1.5-3% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงค่อนข้างมากจากการระบาดระลอกใหม่ที่รวดเร็วและรุนแรง กระทบต่ออุปสงค์ในประเทศ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวชัดเจนขึ้นต่อเนื่องจะส่งผลดีต่อแนวโน้มส่งออกของไทยในระยะต่อไป โดย กกร. คาดว่าการส่งออกปีนี้จะขยายตัวเป็น 5.0-7.0% จากเดิมคาด 4-6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป คงคาดการณ์ในกรอบ 1.0-1.2%

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธาน กกร. กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ถึงแม้ กกร.จะได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจลงมา 1.5-3% แล้วในครั้งก่อนก็ตาม แต่เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกเดือนเมษายนมีแนวโน้มรุนแรงกว่าที่คาด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศมากกว่า 3 เดือน การแพร่ระบาดระลอกล่าสุดได้ส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวได้ช้ากว่าเดิม โดยธุรกิจบริการดำเนินกิจการได้อย่างจำกัดจากมาตรการควบคุมโรค ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและรายได้แรงงาน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสองและไตรสามเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและสภาพัฒน์ฯ ปรับลดประมาณการจีดีพีในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ต่ำกว่าระดับ 2%

“จากช่วงนี้ไปจนถึงไตรมาสที่ 4 จะเป็นช่วงยากลำบากของภาคเอกชน หากยังไม่สามารถคุมการแพร่ระบาดไว้ได้” นายสุพันธุ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม แนวทางเร่งแจกกระจายวัคซีนต้านโควิด-19 เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีและปีหน้ากลับมาฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง การประชาสัมพันธ์แผนการบริหารจัดการวัคซีนที่มีความชัดเจน ไปพร้อมกับการเร่งสร้างความเข้าใจเพื่อเสริมความเชื่อมั่นในการเข้ารับการฉีดวัคซีน จะมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เกิดเป็นภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) ภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่สร้างเสริมความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและประชาชน และจะทำให้อุปสงค์ในประเทศกลับมาฟื้นตัวได้ ดังตัวอย่างในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการกระจายวัคซีน อาทิ สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ที่เศรษฐกิจในปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง

นายสุพันธุ์ กล่าวถึงการที่เศรษฐกิจโลกยังมีทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทยในไตรมาสแรกให้ขยายตัวได้ถึง 8.2% (ไม่รวมการส่งออกทองคำ) อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการยังเผชิญปัญหาขาดแคลนตู้ขนส่งสินค้าและค่าระวางเรือที่ทรงตัวในระดับสูง รวมถึงการเร่งตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ การระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ เป็นความเสี่ยงต่อภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกในระยะต่อไป

กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2564 ของ กกร.

%YoYปี 2563 (ตัวเลขจริง)ปี 2564 (ณ เม.ย. 64)ปี 2564 (ณ พ.ค 64)
GDP-6.11.5 ถึง 3.00.5 ถึง 2.0
ส่งออก-6.04.0 ถึง 6.05.0 ถึง 7.0
เงินเฟ้อ-0.851.0 ถึง 1.21.0 ถึง 1.2

สำหรับข้อเสนอของ กกร.ที่ต้องการให้ภาครัฐเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจใน 4 เรื่อง ได้แก่

1.เร่งฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย โดยปรับปรุงการสื่อสารกับประชาชนเพื่อลดความสับสน และบริหาร จัดการมาตรการควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพ เร่งฉีดวัคซีนในพื้นที่ที่เป็นยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว เพื่อให้สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ในไตรมาสที่ 4

2.เร่งผลักดัน พ.ร.ก.เงินกู้ 7 แสนล้านบาท เพื่อให้รัฐบาลมีเม็ดเงินเพียงพอ และดำเนินโครงการด้านสาธารณสุข ด้านการเยียวยา ชดเชยให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้ภาวะสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงและมีความไม่แน่นอนสูง

3.เร่งรัดมาตรการช่วยเหลือด้านกำลังซื้อภาคประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งให้เข้ามาพยุงกำลังซื้อได้ในเดือนมิถุนายน และพิจารณาเพิ่มวงเงินสนับสนุนการใช้จ่ายจาก 3,000 บาท เป็น 6,000 บาท ซึ่งจะช่วยให้มีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจาก 9 หมื่นล้านบาท เป็น 1.8 แสนล้านบาท เมื่อรวมเม็ดเงินของประชาชนที่นำออกมาใช้จ่ายคู่กับเม็ดเงินจากโครงการคนละครึ่ง

4.เสริมมาตรการดึงกำลังซื้อจากประชาชนที่มีเงินออม โดยสนับสนุนมาตรการนำรายจ่ายจากการซื้อ สินค้าไปหักภาษีเงินได้ในวงเงิน 3-5 หมื่นบาทต่อราย ซึ่งจะจูงใจให้ประชาชนในกลุ่มนี้นำเงินฝากมาใช้จ่าย

“อยากให้ภาครัฐเร่งรัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทันทีในเดือน มิ.ย.เพื่อชดเชยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงไป โดยเฉพาะในภาคท่องเที่ยว หลายมาตรการที่ดีแต่สิ้นสุดโครงการไปก็อยากให้รื้อฟื้นกลับมาอีก สำหรับการออก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 7 แสนล้านบาทนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อหนี้สาธารณะที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง และดุลการชำระเงินไม่ได้ติดลบ ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจดีแล้วก็สามารถนำกลับมาชำระหนี้คืนได้ แต่อยากเห็นภาพที่ชัดเจนว่าจะมีการจัดสรรงบประมาณดังกล่าวไปใช้ดำเนินการเรื่องใดบ้าง”

นายสุพันธุ์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 พ.ค. 64)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top