JWD คาดผลงาน Q2/64 ดีกว่า Q1/64 จากรับรู้ฯ M&A เล็งรับงานขนส่งวัคซีนโควิด

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงสามารถสร้างการเติบโตของรายได้และกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ารายได้และกำไรในไตรมาส 2/64 จะมีการเติบโตดีกว่าไตรมาส 1/64

ทั้งนี้ โดยปกติในช่วงไตรมาส 2 จะเป็นช่วงที่มีวันหยุดยาวมากส่งผลให้รายได้และกำไรลดน้อยลง แต่ในปีนี้บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากการเข้าควบรวมกิจการ (M&A) บริษัท วีเอ็นเอส ทรานสปอร์ต จำกัด (VNS) และเชื่อว่า VNS จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้บริษัทย่อยอย่าง บริษัท เจดับเบิ้ลยูดีทรานสปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด (JTS) สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ดังนั้น บริษัทไม่ได้รับผลกระทบสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่

สำหรับโครงการที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้และกำไร เช่น โครงการ Barge Terminal ได้มีการดำเนินงานตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้ว และมีจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/64 มี 39,143 ตู้ และโครงการรถขนส่งวัคซีนที่ประเทศกัมพูชา ส่วนในประเทศไทยบริษัทได้มีการพูดคุยเรื่องการขนส่งวัคซีนในประเทศไทยกับทางบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด บ้างแล้ว

นอกจากนี้ JWD ยังได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีก 10% จากเดิมที่ถือหุ้นอยู่ 50%ในบริษัท EMLOG Logistics & Warehousing Pte Ltd. (ประเทศสิงคโปร์) รวมทั้งการร่วมลงทุน (JV) กับ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ในการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ และอินดัสเทรียล โดยมีแผนจะขยายโครงการเพิ่มเติมอีกหลายโครงการในอนาคต ซึ่งในปี 64 มีโครงการแล้ว 2 โครงการ มีพื้นที่ประมาณ 62,000 ตารางเมตร

นายเอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน JWD กล่าวว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/64 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากช่วงปลายปีที่แล้ว มีรายได้อยู่ที่ 1,147.1 ล้านบาท ซึ่งมีการเติบโตกว่าไตรมาส 1/63 ที่ 18.7% โดยสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มโลจิสติกส์ 68.8% จากซัพพลายเชน 22.4% และจากธุรกิจอื่นๆ อีก 8.8% ทั้งนี้บริษัทมองว่าการที่ธุรกิจสามารถเติบโตได้นั้นมาจากความหลากหลายในการทำธุรกิจ ประกอบกับการทำงานร่วมกับลูกค้าทั้งแบบ B2B และ B2C

ทั้งนี้บริษัทได้วางเป้าหมายในระยะ 5 ปีข้างหน้า (ปี 64-68) โดยตั้งเป้ารายได้แตะที่ 10,000 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถสร้างอัตรากำไรสุทธิที่ 15% จากปัจจุบันที่มีอยู่ 9% โดยในปี 64 คาดว่าบริษัทจะสามารถทำรายได้อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท

ส่วนแผนการดำเนินงานในระยะ 5 ปี บริษัทวางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และจะมีการดำเนินการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศกัมพูชาที่มีการเติบโตของตลาดโลจิสติกส์ค่อนข้างดี บริษัทจึงย้ายพนักงานไปอยู่ที่กัมพูชาเพื่อรองรับตลาดที่มีการเติบโตค่อนข้างมาก แต่ในปี 64 จะมีการดำเนินงานที่ค่อนข้างล่าช้าเนื่องจากกัมพูชาประสบปัญหาเรื่องการระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง ส่วนประเทศเวียดนามบริษัทวางแผนจะเพิ่มสัดส่วนในการเข้าถือหุ้นเพิ่มจากเดิมมีสัดส่วน 25% เนื่องจากมีการเติบโตที่ดีต่อเนื่องจากปีที่แล้ว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 พ.ค. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top