ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ 1 หมื่นลบ.MINT ที่ A แนวโน้ม Negative

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT)) ที่ระดับ “A” รวมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน (MINT18PA) ของบริษัทที่ระดับ “BBB+”

ขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 8 พันล้านบาทและหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe) ในวงเงินไม่เกิน 2 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A” ด้วย

ทั้งนี้ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ชุดใหม่ใช้แทนอันดับเครดิตหุ้นกู้เดิมที่ได้รับการจัดอันดับเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 เนื่องจากบริษัทแจ้งความประสงค์เพิ่มวงเงินรวมของหุ้นกู้จากเดิม 6 พันล้านบาท โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนด และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่เข้มแข็งของบริษัทจากการมีแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่งและทำเลที่ตั้งของธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารที่ครอบคลุม ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะเครดิตของบริษัทยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันไปอีกในระยะ 12-24 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งคาดว่าจะเห็นผลการดำเนินงานของบริษัทค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมในทวีปยุโรปตั้งแต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 เป็นต้นไป จากการที่หลาย ๆ ประเทศในยุโรปกำลังดำเนินการฉีดวัคซีน

ทริสเรทติ้งยังมีมุมมองว่าความพยายามในการลดต้นทุนดำเนินงาน การบริหารจัดการสภาพคล่องและสถานะทางการเงิน ตลอดจนการขยายเวลายกเว้นการทดสอบข้อกำหนดทางการเงินออกไปจะช่วยให้บริษัทสามารถมีเวลาและมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการในช่วงเวลาที่ธุรกิจค่อย ๆ ฟื้นตัวในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้าได้

ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสแรกของปี 2564 ยังคงได้รับผลกระทบอย่างมากจากโรคโควิด 19 บริษัทมีรายได้ 1.25 หมื่นล้านบาท และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 211 ล้านบาท ในขณะที่มีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 2.35 แสนล้านบาท

สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทในปี 2564 จะอยู่ที่ประมาณ 7.8 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และประมาณ 1.06 แสนล้านบาทในปี 2565 และคาดว่าจะกลับไปอยู่ในระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในปี 2566 ที่ระดับ 1.23 แสนล้านบาท ในขณะที่คาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยที่ระดับ 1.1-1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ที่ระดับ 2.8 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และ 3.3 หมื่นล้านบาทในปี ในปี 2566

สมมติฐานของทริสเรทติ้งยังคาดว่าอัตราส่วนหนี้ทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทจะสูงใกล้ระดับ 20 เท่าในปี 2564 ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 7-8 เท่าในปี 2565 และต่ำกว่า 7 เท่าในปี 2566 ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทสำรองเงินสดและรักษาสภาพคล่องให้เพียงพอที่จะรับมือกับภาวะความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับสูงกว่าที่ธุรกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าสถานะเครดิตของบริษัทยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันเนื่องจากการฟื้นตัวของธุรกิจยังมีความเปราะบางจากสถานการณ์ของโรคโควิด 19 ที่ดำเนินอยู่ และความไม่แน่นอนต่อการผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางทั่วโลกซึ่งขึ้นอยู่กับการกระจายวัคซีนและประสิทธิภาพของวัคซีนเป็นอย่างมาก

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มีความยืดเยื้อ ส่งผลให้การฟื้นตัวของธุรกิจและการลดระดับภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทล่าช้าออกไป การลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากสถานะสภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีสาระสำคัญ

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับมาเป็น “Stable” หรือ “คงที่” ได้ หากสถานการณ์ของโรคโควิด 19 พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้สภาวะสังคมและเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ และบริษัทแสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงานและสถานะเครดิตที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 มิ.ย. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top