“โตทับเที่ยง” ประกาศพลิกฟื้น POMPUI ยื่นปลด SP-กลับเข้าเทรดหลังยุติคดีกงสี

นายสุธรรม โตทับเที่ยง ประธานกรรมการ บมจ.ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล (POMPUI) เปิดแถลงข่าวร่วมกับบุคคลในตระกูลโตทับเที่ยงว่า ตระกูลโตทับเที่ยงในฐานะผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ๋ใน POMPUI พร้อมเดินหน้าพลิกฟื้นธุรกิจ ผลักดันหุ้น POMPUI ให้กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง พร้อมปั้นเบรนด์สินค้าอาหาร “ปุ้มปุ้ย” อย่างจริงจัง หลังจากยุติข้อพิพาทในตระกูลที่มีมาอย่างยาวนานเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาส่งผลให้คดีเป็นที่สิ้นสุด

คำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีกงสี ตระกูลโตทับเที่ยง เมื่อวันที่ 25 เม.ย.65 มีผลให้จำเลยทั้ง 6 คนที่ถือกรรมสิทธิ์ในหุ้นของบริษัททั้ง 19 บริษัทไว้แทนกงสีโอนหุ้นในบริษัทให้กับบุคคลในตระกูลโตทับเที่ยงทั้ง 10 คนรวมถึงนายสุรินทร์ โตทับเที่ยง ซึ่งเป็นจำเลยในคดีด้วย โดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้ง 6 โอนหุ้นในบริษัททั้ง 19 บริษัทให้แก่โจทก์ทั้ง 9 และจำเลยที่หนึ่งคนละ 1 ใน 10 ส่วนเท่าๆกัน เช่นเดียวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นกรรมสิทธิรวมของธุรกิจครอบครัวหรือกงสีของตระกูลโตทับเที่ยง

นายสุธรรม กล่าวว่า หลังจากคำพิพากษาของศาลฎีกาออกมาแล้วก็ได้เตรียมเจรจาและจัดสรรหุ้นและที่ดินให้กับคนในตระกูลโตทับเที่ยงอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงในส่วนของนายสุรินทร์ จำเลยที่มีข้อพิพาท ซึ่งเป็นพี่น้องในตะกูลโตทับเที่ยงด้วยเช่นกัน ซึ่งคนในครอบครัวตระกูลโตทับเที่ยงพร้อมจะจัดสรรหุ้นและที่ดินอย่างเท่าเทียม และเปิดโอกาสให้คนในครอบครัวเข้ามาร่วมสานต่อธุรกิจของตระกูลต่อไป

“ความชัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นความชัดแย้งเล็กน้อยที่เรามาเปิดใจคุยกันในครอบครัวได้ ผมเข้าใจว่าบางทีเราอาจจะคิดไม่ตรงกันบ้าง ทำให้เกิดความชัดแย้งขึ้น แต่ต้องใช้วิธีการหาทางออกที่ดีที่สุด ที่ได้ความเป็นธรรมกับทุกคน เมื่อเรื่องสรุปจบเรื่องแล้วก็อยากให้มาคุยกัน ในการจัดสรรและแบ่งหุ้นและที่ดิน ที่ทุกคนได้รับความเป็นธรรม และสามารถมาร่วมกันในการบริหารงานของครอบครัวได้ ซึ่งทุกคนยินดีเปิดกว้างให้คนในครอบครัวมาร่วมทำงานในธุรกิจของโตทับเที่ยง”

นายสุธรรม กล่าว

สำหรับธุรกิจของ POMPUI ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของครอบครัวนั้น หลังจากมีคดีข้อพิพาทเกิดขึ้น ทำให้คนในครอบครัวโตทับเที่ยงไม่ได้เข้ามาดูแลและบริหารนานถึง 6-7 ปี ทำให้แบรนด์ “ปุ้มปุ้ย” เงียบหายไปในตลาด แต่หลังจากเดือนพ.ย. 64 นายสุธรรม และคนในตะกูลโตทับเที่ยงส่วนหนึ่งได้เริ่มกลับมาดูแลธุรกิจอีกครั้ง ปัจจุบันได้ปรับโครงสร้างการบริหารด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการบริหารเมื่อช่วงกลางเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา และเตรียมเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 30 เม.ย.นี้ จากนั้นจะเดินหน้าขับเคลื่อนการตลาดอย่างจริงจังอีกครั้ง

พร้อมกันนั้น คณะผู้บริหารตั้งเป้าหมายนำหุ้น POMPUI กลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯอีกครั้งหากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 30 เม.ย. 65 อนุมัติ โดยจะดำเนินการยื่นขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ปลดเครื่องหมาย SP หลังจาก POMPUI ได้ส่งงบการเงินครบทุกไตรมาสแล้ว แต่ในเรื่องของระยะเวลาการปลด SP ขึ้นกับการพิจารณาของ ตลท. ซึ่งตระกูลโตทับเที่ยงทุกคนคาดหวังให้กลับมาเทรดได้เร็วที่สุด เพราะ POMPUI ไม่ได้เป็นบริษัทที่มีแค่คนในครอบครัวโตทับเที่ยงเท่านั้น ยังมีนักลงทุนรายอื่นๆ อีกมาก

นางสาวกุลเกตุ โตทับเที่ยง รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด POMPUI กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำแผนธุรกิจ หลังจากทราบผลคำพิพากษาของคดี คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยภาพรวมของผฃการดำเนินงานในปี 65 คาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ส่งผลดีต่อการบริโภค รวมถึงการส่งออกมียอดขายที่เติบโตขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการขายในประเทศที่ 80% และสัดส่วนการส่งออก 20%

ขณะเดียวกันบริษัทจะหันมาขยายช่องทางการขายผ่านออนไลน์ในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ชมากขึ้นเพื่อให้เข้าถึงการสั่งซื้อสินค้าของ “ปุ้มปุ้ย” ได้ง่ายมากขึ้น สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน แต่ยังคงมีการบริหารช่องทางการขายร้านค้าทั่วไป (TT) และโมเดิร์นเทรด (MT) อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นช่องทางการขายหลัก ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วน TT และ MT ที่ 50:50 แต่ช่องทางการขายผ่านออนไลน์จะเข้ามาเสริมและขยายฐานลูกค้า

นอกจากนี้บริษัทจะมีการ Refresh Brand ผลิตภัณฑ์ “ปุ้มปุ้ย” และปรับบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งในปีนี้จะเห็นการกลับมาทำการตลาดของผลิตภัณฑ์ “ปุ้มปุ้ย” ที่ออกมามาก และการนำผลิตภัณฑ์ไปจัดแสดงในงาน THAIFEX ซึ่งถือเป็นการกลับมาโปรโมทสินค้าของ “ปุ้มปุ้ย” อีกครั้ง

ด้านผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นนั้น บริษัทยังมีการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมาเป็นระดับที่บริษัทยอมรับได้ และไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายสินค้ามากนัก โดยยังสามารถตรึงราคาขายสินค้า “ปุ้มปุ้ย” ในระดับ 18-23 บาท ซึ่งไม่ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นมา 7-8 ปีแล้ว และการจะขอการปรับราคาขายขึ้นของอาหารกระป๋องต้องขออนุญาตจากรกะทรวงพาณิชย์ด้วย

สำหรับมูลค่าตลาดอาหารกระป๋องปรุงรสและราดซอสในถือว่ายังมีการเติบโตที่ดี และมีมูลค่าตลาดรวมมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยที่ในส่วนของผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องปรุงรสของบริษัทยังคงครองส่วนแบ่งตลาด (Market share) เป็นอันดับ 1 ในประเทศ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม คือ หอยลายกระป๋องปรุงรส และในส่วนของผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องราดซอส คือ ปลากระป๋อง บริษัทมี Market share ที่อันดับที่ 3 แต่ในปีนี้บริษัทจะมีการทำการตลาดมากขึ้น เพื่อผลักดันให้ Market share ของปลากระป๋อง “ปุ้มปุ้ย” ปรับเพิ่มขึ้นมาได้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 เม.ย. 65)

Tags: , , , , , ,
Back to Top