รมว.พาณิชย์ กำชับดูแลราคาน้ำมันปลาล์ม-สินค้าไม่ให้ขาดตลาด โยนกพช.พิจารณาเลิกใช้ผสมดีเซล

 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวถึงเรื่องราคาปาล์มว่า เกษตรกรพอใจมาก เพราะราคาผลปาล์มสูงขึ้นจาก 2-3 ปีที่แล้ว โดยปัจจุบันราคาผลปาล์มสดอยู่ที่ กก.ละ 11-12 บาท จากเดิมราคาเพียง กก.ละ 2 บาทกว่า จึงเป็นที่พอใจของชาวสวนปาล์ม แต่สถานการณ์ดังกล่าวจะมีผลให้ผู้ประกอบการโรงสกัด และโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มขวดมีต้นทุนสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ได้เรียกประชุมทุกฝ่าย พยายามกำกับราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดไม่ให้เป็นการค้ากำไรเกินควร และพยายามกดราคาลงมา เพราะขณะนี้ถ้าผลปาล์มกก.ละ 11-12 บาท ราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดจะต้องขึ้นไปเป็น 75-76 บาท แต่กระทรวงพาณิชย์ยังดูแลให้อยู่ในราคาขวดละประมาณ 65- 68 บาท

รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ล่าสุดได้ประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ด้านการตลาด เพื่อพิจารณาเรื่องปาล์มครบวงจร ทั้งราคาผลปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มบรรจุขวด เพื่อให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม ไม่ค้ากำไรเกินควร และดูแลปริมาณไม่ให้ขาดตลาด

“คณะอนุกรรมการชุดนี้ ดูทั้งราคา และป้องกันสินค้าขาดตลาด โดยจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มแห่งชาติวันที่ 23 พฤษภาคมนี้ จากนั้นจะมีการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ทุกฝ่าย มาดูแลปาล์มทั้งระบบ และสั่งการให้มีการตรวจสต็อกทุกสัปดาห์และรายงานให้ทราบ ซึ่งเป็นรูปธรรมที่สุด และเป็นทั้งนโยบายเชิงรุก และนโยบายเชิงลึก” นายจุรินทร์ กล่าว

โดยก่อนหน้านี้ที่ราคาผลปาล์มตกต่ำ ได้เป็นที่มาให้มีการส่งเสริมการใช้น้ำมันปาล์มมากขึ้น โดยนำมาใช้ผสมกับน้ำมันดีเซล เป็น บี 7 บี 10 และบี 20 แต่ในปัจจุบันราคาปาล์มสูงขึ้นมาก เมื่อนำไปผสมกับน้ำมันดีเซล จึงทำให้ราคาสูงตามไปด้วย ดังนั้นจึงต้องเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่จะพิจารณาความเหมาะสมในสถานการณ์นี้ว่าจะดำเนินการอย่างไร

สำหรับสถานการณ์ราคาสินค้าที่ยังสูงอยู่ในขณะนี้ นายจุรินทร์ กล่าวว่า เป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนการผลิต และค่าขนส่งโดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล ทำให้ค่าขนส่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว และทำให้ราคาสินค้าต้องปรับสูงขึ้นตามด้วย อย่างไรก็ดี ในการเข้าไปดูแลปลายทางหรือปลายเหตุ กระทรวงพาณิชย์ ได้มีมาตรการทั้งเชิงรุกและเชิงลึกในการแก้ไขปัญหา โดยการพิจารณาอนุญาตให้สินค้าปรับขึ้นราคานั้น จะต้องดูรายละเอียดของสินค้าแต่ละตัว ไม่เช่นนั้นจะกระทบกับผู้บริโภคเกินสมควร ถ้าพบว่าสินค้ารายใดเข้าข่ายการค้ากำไรเกินควร จะดำเนินคดีโดยเด็ดขาด

พร้อมกันนี้ ได้สั่งการไปยังพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานคณะกรรมการดูแลเรื่องราคาสินค้าและบริการของจังหวัด เพื่อเข้าไปบริหารจัดการ ซึ่งหากพบการค้ากำไรเกินควร จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 พ.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top